หอเอนแห่งเมืองปิซาเป็นภาพจำที่ติดอยู่ในใจฉันมาตั้งแต่เด็ก ภาพของหอระฆังที่เอียงอย่างโดดเด่น พร้อมเรื่องราวของกาลิเลโอ กาลิเลอี ที่ใช้มันเป็นสถานที่ค้นพบกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ทำให้ฉันและเพื่อนๆ ในวัยเรียนจดจำชื่อของเมืองนี้ได้ดีกว่าอาคารประวัติศาสตร์ในบ้านเราเสียอีก ความใฝ่ฝันที่จะมาเห็นด้วยตาตัวเองจึงถูกบรรจุลงในแผนการเดินทางครั้งแรกของฉันในอิตาลี
การเดินทางสู่เมืองปิซา
ฉันเดินทางมาถึงโรมแต่เช้าตรู่ พร้อมกับคลื่นนักท่องเที่ยวจากเอเชียที่เดินทางมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน สนามบินเต็มไปด้วยผู้คนจากจีน ฟิลิปปินส์ และคนไทยอีกหลายกลุ่ม ฉันรอเพื่อนร่วมทริปอีกสองคนซึ่งจะตามมาสมทบในอีกไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากรวมตัวกันครบแล้ว พวกเราก็เร่งรีบเดินทางไปยังสถานีรถไฟหลักของกรุงโรม Roma Termini โดยขึ้นรถไฟด่วนลีโอนาร์โด ใช้เวลาเพียง 30 นาที ค่าโดยสาร 11 ยูโร มาถึงสถานีแล้วก็ต้องรีบลากกระเป๋าไปยังชานชาลาของรถไฟขบวนต่อไปที่เราจองไว้ล่วงหน้า เพื่อเดินทางสู่เมืองฟลอเรนซ์ (Firenze) รถไฟที่อิตาลีออกตรงเวลามาก หากพลาดไป เท่ากับต้องซื้อตั๋วใหม่ ซึ่งราคาสูงกว่าเดิมหลายเท่า โชคดีที่พวกเราวิ่งขึ้นรถไฟได้ทันก่อนออกเดินทางเพียงไม่กี่นาที
ฉันวางแผนให้เมืองปิซาเป็นจุดหมายแรกของทริป เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากฟลอเรนซ์ เราเช็คอินเข้า Hostel Archi Rossi ก่อนออกเดินทางไป Pisa Centrale โดยไม่ได้พกแผนที่ใดๆ ติดตัว แต่อาศัยถามทางจากชาวเมืองไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สวยงาม สีสันสดใส อากาศดีเป็นใจให้เราสัมผัสบรรยากาศของเมืองเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น ตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยผู้คนเดินเล่น ขี่จักรยาน หรือขับสกู๊ตเตอร์ อันเป็นพาหนะยอดนิยมของคนอิตาลี
หอเอนแห่งปิซา และจัตุรัสแห่งประวัติศาสตร์
หลังจากเดินลัดเลาะผ่านแม่น้ำอาร์โน (Arno) ไปได้สักพัก เราก็มองเห็นหอเอนตั้งอยู่เบื้องหน้า ถึงแม้จะรู้มานานแล้วว่าหอเอนไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างที่เคยคิดในวัยเด็ก แต่การได้เห็นด้วยตาตัวเองทำให้ฉันยิ่งรู้สึกประทับใจ ที่จริงแล้ว บริเวณนี้คือ Piazza del Duomo หรือ Cathedral Square ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมสำคัญสี่แห่ง ได้แก่:
- Duomo di Pisa – โบสถ์ซานตามาเรีย อัสซุนต้า อันวิจิตร
- Leaning Tower of Pisa – หอเอนที่โด่งดัง
- Baptistery – สถานที่ทำพิธีศีลจุ่มที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี
- Campo Santo – สุสานเก่าแก่ของเมือง
สนามหญ้าสีเขียวขจีที่ตัดกับอาคารสีขาวทำให้ภาพเบื้องหน้าดูงดงามอย่างยิ่ง ฉันและเพื่อนๆ ถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางนักท่องเที่ยวที่พยายามจัดท่าทางให้ดูเหมือนกำลัง “ดัน” หอเอนให้ตั้งตรง สักพักเจ้าหน้าที่ก็มาเป่านกหวีดเตือน เนื่องจากไม่อนุญาตให้เหยียบสนามหญ้า แต่ดูเหมือนจะห้ามได้ยาก เพราะใครๆ ก็อยากได้ภาพสวยๆ คู่กับหอเอนกันทั้งนั้น
ฉันเลือกที่จะไม่ขึ้นไปบนหอเอน เพราะพรุ่งนี้วางแผนขึ้นไปชมวิวจากยอดโดมของ Duomo di Firenze ที่ฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่ไม่ควรพลาด
มื้ออาหารและบทเรียนราคาแพง
ระหว่างทางกลับ เราลองแวะทานอาหารที่ร้านริมทางที่ตกแต่งสวยงาม แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย สปาเก็ตตี้หนึ่งจาน เพเน่หนึ่งจาน และน้ำเปล่าสองขวด รวมกันแล้วโดนไป 25 ยูโร อาหารรสชาติเฉยๆ ทำให้ฉันเสียดายเงินเล็กน้อย สุดท้ายจึงต้องไปฝากท้องกับร้านพิซซ่าใกล้ๆ ที่ราคาเพียง 2 ยูโรต่อชิ้น ซึ่งอร่อยและคุ้มค่ากว่ามาก
ความประทับใจ และการเดินทางต่อ
แม้จะเหนื่อยจากการเดินทางกว่า 16 ชั่วโมง แต่บรรยากาศที่ดีและภาพความสวยงามของหอเอนแห่งปิซาก็ทำให้ฉันลืมความเหน็ดเหนื่อยไปหมดสิ้น ทริปนี้ฉันไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปไป แต่ใช้กล้องวิดีโอบันทึกความทรงจำแทน ถึงแม้ว่าภาพจะยังไม่นิ่ง และสีจะจืดไปบ้าง แต่ก็ได้อารมณ์ที่แตกต่างจากภาพนิ่งอย่างมาก
พรุ่งนี้ เราจะเดินทางไปฟลอเรนซ์ต่อ และขึ้นไปชมวิวจากโดมของมหาวิหาร ก่อนที่ทริปในอิตาลีจะต้องจบลงเร็วกว่ากำหนด เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ต้องรีบเดินทางกลับเมืองไทย เรื่องราวต่อจากนี้ ฉันจะมาเล่าต่อให้ฟังในโอกาสหน้า!






Leave a Reply