“ท่านทั้งหลาย ข้าคือไซรัส โอรสแห่งกษัตริย์แคมไบซิส ผู้สถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียและปกครองดินแดนเอเชีย ได้โปรดอย่าได้ริษยาข้าเพียงเพราะอนุสาวรีย์แห่งนี้เลย”
เสียงสะท้อนจากข้อความโบราณนี้ ได้รับการบันทึกโดย สตราโบ (Strabo) นักภูมิศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกผู้เคยเดินทางผ่านเปอร์เซีย เขาเล่าว่า ข้อความนี้เคยสลักอยู่เหนือสุสานของกษัตริย์ไซรัสมหาราชแห่งเปอร์เซีย แม้ทุกวันนี้จะยังไม่เคยพบหลักฐานข้อความนั้นจริง ๆ จากสุสานก็ตาม แต่เพียงได้อ่านก็สัมผัสได้ถึงความสง่างามและถ่อมตนในถ้อยคำ
ณ ที่ราบกว้างใหญ่ของ Pasargadae ใจกลางอิหร่าน หนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลก ฉันได้ยืนอยู่เบื้องหน้าสุสานหินเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ของชายผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งได้รับสมญาว่า “มหาราช” ไม่ใช่เพราะความร่ำรวยหรือชัยชนะในสงครามเพียงเท่านั้น แต่เพราะความเมตตา เสรีภาพ และการบริหารอย่างมีคุณธรรมที่มอบให้กับอาณาจักรและผู้คนทั้งหลาย
กำเนิดและเบื้องหลัง
ไซรัสมหาราช หรือในภาษาฟาร์ซีว่า Kurush-e Bozorg เกิดเมื่อราว 600 ปีก่อนคริสตกาล เป็นพระโอรสของกษัตริย์ Cambyses I แห่งราชวงศ์อาคีเมเนียน และพระนาง Mandane ธิดาของกษัตริย์แห่งมีเดีย (Media)
ตามตำนาน พระองค์ถูกทำนายว่าจะโค่นล้มราชวงศ์มีเดีย ซึ่งภายหลังได้เกิดขึ้นจริงเมื่อไซรัสทรงนำกองทัพของพระองค์ขึ้นต่อสู้กับ พระเจ้าอัสดีอาเกสแห่งมีเดีย (Astyages) ซึ่งเป็นตาของพระองค์เอง และทรงสถาปนาจักรวรรดิเปอร์เซียขึ้น
การขยายอำนาจและวิสัยทัศน์ระดับจักรวาล
ตลอดรัชกาลของพระองค์ (ประมาณ 550–530 ปีก่อนคริสตกาล) ไซรัสได้ขยายอาณาเขตของจักรวรรดิอาคีเมเนียนให้ครอบคลุมหลากหลายชนชาติ ตั้งแต่:
- เมโสโปเตเมีย (พิชิตกรุงบาบิโลนในปี 539 BCE)
- ลิเดีย (เอเชียไมเนอร์) อันมั่งคั่ง
- เอเชียกลาง ไปจนจรดแม่น้ำสินธุ
ความน่าทึ่งคือ แม้จะขยายอำนาจอย่างรวดเร็ว แต่พระองค์ไม่ทรงใช้กำลังบีบบังคับให้ชนชาติที่พิชิตต้องเปลี่ยนศาสนาหรือวัฒนธรรม พระองค์ทรงให้เสรีภาพทางศาสนาแก่ประชาชน ซึ่งเป็นหลักการที่ล้ำหน้าเกินกว่าสมัยใด ๆ
“Cyrus Cylinder” – รัฐธรรมนูญฉบับแรกของโลก?
หลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความยุติธรรมของพระองค์คือ กระบอกไซรัส (Cyrus Cylinder) ซึ่งค้นพบในบาบิโลน ปัจจุบันอยู่ที่ British Museum ในลอนดอน จารึกนี้ถูกนักวิชาการขนานนามว่าเป็น “กฎหมายสิทธิมนุษยชนฉบับแรกของโลก” เพราะบันทึกถึงคำสั่งให้ปลดปล่อยเชลยชาวยิว และให้ประชาชนสามารถกลับบ้านเกิด รวมถึงฟื้นฟูศาสนสถานของตนได้
เมืองหลวงที่พระองค์สร้าง – Pasargadae
Pasargadae เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของจักรวรรดิอาคีเมเนียน และถือเป็นหนึ่งในแบบอย่างของสถาปัตยกรรมเปอร์เซียยุคแรก ภายในเมืองยังมี:
- พระราชวังของไซรัส พร้อมเสาและโถงขนาดใหญ่
- สวนหลวงแบบเปอร์เซียโบราณ ซึ่งอาจเป็นต้นแบบของ “สวนสวรรค์” หรือ “พาราไดซ์ (Paradise)”
- และที่สำคัญที่สุด: สุสานของพระองค์เอง สร้างจากหินปูนบนฐานขั้นบันไดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงประมาณ 11 เมตร แม้จะเรียบง่ายแต่แสดงถึงความสงบ สมถะ และความเป็นอมตะแห่งจิตวิญญาณ
การสิ้นพระชนม์และมรดก
ไซรัสสิ้นพระชนม์ในปี 530 ปีก่อนคริสตกาล ขณะทำศึกกับชนเผ่า Massagetae ทางตะวันออกของอาณาจักร ร่างของพระองค์ถูกนำกลับมาฝังไว้ที่ Pasargadae และแม้เวลาจะผ่านไปกว่าสองพันปี สุสานของพระองค์ยังคงยืนหยัดท้าทายกาลเวลา
อเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อเดินทางมาถึงที่นี่ในอีกสองร้อยปีให้หลัง ยังถึงกับโค้งคำนับต่อหน้าสุสาน และสั่งซ่อมแซมให้
ไซรัสไม่ได้ทิ้งเพียงอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ แต่ยังทิ้งแบบอย่างของ “จักรพรรดิที่มีคุณธรรม” – ผู้ปกครองที่ให้เกียรติในความแตกต่าง ความเชื่อ และเสรีภาพของผู้คน มรดกนี้ยังสะท้อนอยู่ในประวัติศาสตร์ของหลายประเทศ โดยเฉพาะอิสราเอล ที่ยกย่องไซรัสในพระคัมภีร์ว่าเป็น “ผู้ได้รับการเจิมจากพระเจ้า”
|
|
|
Susa
หลังจาก ไซรัสมหาราช (Cyrus the Great) สร้าง Pasargadae ขึ้นมาเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของจักรวรรดิเปอร์เซียในช่วงปี 546–530 BCE เมืองนี้ถือเป็นศูนย์กลางของอำนาจ และมีความสำคัญทั้งในแง่สัญลักษณ์และศาสนา แต่ภายหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ราชวงศ์อาคีเมเนียนก็ค่อย ๆ ขยายขอบเขตไปไกลเกินกว่าที่ Pasargadae จะตอบโจทย์ด้านยุทธศาสตร์และการบริหารได้ทั้งหมด
เหตุผลหลักที่ย้ายเมืองหลวงไปยัง Susa:
1. ตำแหน่งยุทธศาสตร์และการเชื่อมต่อเส้นทางการค้า
- Susa ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ Karun ในภูมิภาค Elam ใกล้เขตชายแดนของเมโสโปเตเมีย ทำให้เชื่อมต่อกับโลกตะวันตก (บาบิโลน, เมืองสำคัญในเมโสโปเตเมีย) ได้สะดวก
- เป็นจุดศูนย์กลางในการบริหารจักรวรรดิที่แผ่ขยายจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึงอินเดีย
2. สภาพภูมิอากาศและความอุดมสมบูรณ์
- บริเวณ Pasargadae อยู่ในที่ราบสูงที่ค่อนข้างแห้งแล้งและหนาวในฤดูหนาว ในขณะที่ Susa อยู่ในพื้นที่อบอุ่น ใกล้แหล่งน้ำ และเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานถาวรมากกว่า
3. สะดวกในการบริหารจักรวรรดิขนาดใหญ่
- จักรพรรดิ Darius I (ดาริอัสมหาราช) ซึ่งครองราชย์ในปี 522–486 BCE เป็นผู้ย้ายศูนย์กลางราชสำนักไปยัง Susa และต่อมาสร้างอีกเมืองหลวงหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมคือ Persepolis
- Darius I ต้องการสถานที่ที่สามารถควบคุมดินแดนขนาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบ satrapy (แบ่งเขตการปกครองออกเป็นมณฑลพร้อมผู้ว่าการ)
4. Susa เคยเป็นเมืองหลวงของ Elam ซึ่งมีวัฒนธรรมสูงอยู่ก่อน
- การเลือก Susa ไม่ได้เป็นแค่ “การเริ่มต้นใหม่” แต่เป็นการสืบทอดและรวมวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าไว้กับจักรวรรดิใหม่ เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมและเสถียรภาพ
5. โครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่
- พระราชวังฤดูหนาวของ Darius ที่ Susa ถือเป็นสถาปัตยกรรมขั้นสูงในยุคอาคีเมเนียน ใช้วัสดุจากทั่วทั้งจักรวรรดิ เช่น ไม้จากเลบานอน หินจากอียิปต์ และศิลาจากอินเดีย
- ภายในตกแต่งด้วยแผ่นกระเบื้องเคลือบสี (glazed bricks) และภาพสลักของเหล่าทูตจากทั่วจักรวรรดิ ซึ่งเน้นแนวคิด “การปกครองแบบพหุวัฒนธรรม”

การย้ายเมืองหลวงจาก Pasargadae → Susa → Persepolis เป็นพัฒนาการตามลำดับของจักรวรรดิที่เติบโตขึ้น
- Pasargadae คือเมืองหลวงแห่งจิตวิญญาณของไซรัส
- Susa คือศูนย์กลางการบริหารที่เชื่อมโลกตะวันออกและตะวันตก
- Persepolis คือสัญลักษณ์ของอำนาจ ความรุ่งเรือง และวัฒนธรรมจักรวรรดิ







Leave a Reply