เช้าวันนี้ ฉันออกเดินทางสำรวจ Khiva เมืองโบราณที่เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของอุซเบกิสถาน ตั้งอยู่ริมทะเลทรายคาราคุมและคิซิลคุม เมืองนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี และเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร Khorezm ซึ่งรุ่งเรืองที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 17-19 แม้ว่าการค้าเส้นทางสายไหมจะเสื่อมบทบาทลง แต่ Khiva ยังคงเป็นศูนย์กลางการปกครอง ศาสนา และวัฒนธรรม โดยมีการก่อสร้างพระราชวัง มัสยิด และมาดราซาอันงดงามมากมาย เศรษฐกิจของเมืองในช่วงเวลานี้เติบโตจากอุตสาหกรรมท้องถิ่นและตลาดค้าทาส
เมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
Khiva ผ่านเหตุการณ์สำคัญหลายยุค ตั้งแต่การเป็นเมืองหน้าด่านของอาณาจักร Khorezm ในยุคโบราณ การถูกทำลายโดยเจงกีสข่านในศตวรรษที่ 13 และการฟื้นตัวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าและศาสนา ในศตวรรษที่ 16 เมืองนี้กลายเป็นเมืองหลวงของข่านแห่ง Khiva หนึ่งในรัฐที่ทรงอิทธิพลของเอเชียกลาง แต่ในศตวรรษที่ 19 เมืองต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิรัสเซีย ต่อมาในปี 1920 กองกำลังบอลเชวิคได้ยึดเมืองและจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนโซเวียต Khorezm ก่อนจะถูกผนวกเข้าสู่สหภาพโซเวียตในปี 1924 จนกระทั่งอุซเบกิสถานได้รับเอกราชในปี 1991
Khiva โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงอดีตอันรุ่งเรือง โดยเฉพาะกำแพงเมือง Ichan Kala ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ป้อมปราการแห่งนี้รายล้อมไปด้วยอาคารสำคัญ เช่น มัสยิด พระราชวัง มาดราซา และหอคอยสูงที่เคยใช้เป็นจุดเฝ้าระวังข้าศึก เมืองนี้ยังเป็นตลาดค้าทาสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในศตวรรษที่ 18-19 โดยมีทาสจากคาซัคสถาน เปอร์เซีย และพื้นที่โดยรอบถูกซื้อขายที่นี่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้จักรวรรดิรัสเซียขยายอิทธิพลเข้ามา ในปี 1873 กองทัพรัสเซียภายใต้การนำของนายพล Konstantin von Kaufman ได้บุกยึดเมือง และข่านต้องยอมรับสถานะรัฐในอารักขาของรัสเซีย
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 Khiva กลายเป็นส่วนหนึ่งของอุซเบกิสถาน เมืองนี้ยังคงรักษามรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ไว้อย่างดี ทำให้เป็นจุดหมายสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเส้นทางสายไหมและประวัติศาสตร์เอเชียกลาง เมืองนี้เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองและการเปลี่ยนแปลงตลอดหลายศตวรรษ
สำรวจเมืองเก่าภายในกำแพงเมือง Ichan Kala
เมืองเก่า Khiva ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง Ichan Kala ซึ่งเป็นป้อมปราการโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องเมืองจากการรุกราน กำแพงแห่งนี้สร้างจากอิฐดินเหนียว มีความสูงประมาณ 10 เมตร และมีความหนาถึง 5-6 เมตร ล้อมรอบพื้นที่เมืองเก่าไว้อย่างแข็งแกร่ง กำแพงถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 และได้รับการบูรณะหลายครั้งในยุคข่านแห่ง Khiva โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 17-19
Ichan Kala: เมืองเก่าภายในกำแพง
Ichan Kala มีประตูเมืองหลักสี่แห่ง ได้แก่ ประตู Ota (West Gate) ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของเมือง ประตู Bagcha (North Gate) ที่เชื่อมต่อไปยังเส้นทางข้ามทะเลทรายคาราคุม ประตู Palvan (East Gate) ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญไปยังภูมิภาคเอเชียกลาง และประตู Tash (South Gate) ที่ใช้เป็นทางออกหลักสู่เมืองและดินแดนทางตอนใต้ของอุซเบกิสถาน ในอดีตประตูเหล่านี้เป็นจุดตรวจคนเข้าเมืองและศูนย์กลางการค้าสำคัญของเมือง Khiva
กำแพงและประตูเมืองของ Ichan Kala เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของข่านแห่ง Khiva และยังคงตั้งตระหง่านเป็นพยานถึงอดีตอันรุ่งเรืองของเมือง แม้ในปัจจุบันจะเป็นเพียงโบราณสถาน แต่ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรมและการป้องกันเมืองของยุคโบราณ
เที่ยวเมืองเก่า
ก่อนเข้าสู่เขตเมืองเก่า Ichan Kala ฉันแวะซื้อตั๋วที่ประตู Ota หรือ West Gate ในราคา 150,000 Som ประตูนี้เป็นหนึ่งในสี่ประตูสำคัญของเมือง ตั๋วที่ฉันซื้อสามารถใช้เข้าชมสถานที่สำคัญได้แทบทุกแห่งภายในเมือง ยกเว้นบางสถานที่ที่ต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มอีกเล็กน้อย
ฉันติดต่อไกด์ท้องถิ่นชื่อ Branos เพื่อให้พาเดินชมเมือง แม้ว่าการสื่อสารจะมีติดขัดบ้าง แต่ก็นำทางฉันไปสู่จุดหมายสำคัญของวันได้ดี สายลมเย็นของ Khiva พัดแรงจนรู้สึกเหมือนจะปลิวไปกับมัน
ก่อนเดินชม เราผ่านรูปปั้นของ Al-Khorezmi นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 9 ผู้ให้กำเนิดศาสตร์พีชคณิตและแนวคิดที่นำไปสู่ระบบตัวเลขทศนิยม คำว่า “อัลกอริทึม” (Algorithm) ที่ใช้ในวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันก็มาจากชื่อของเขา Al-Khorezmi เกิดในเมือง Kath ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาค Khorezm ในปัจจุบัน และเป็นนักปราชญ์ที่ทำงานใน House of Wisdom แห่งกรุงแบกแดด ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อการพัฒนาคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ในโลกอิสลามและยุโรปยุคกลาง
Khiva ให้เกียรติ Al-Khorezmi ในฐานะบุตรแห่งแผ่นดิน รูปปั้นของเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติและเป็นสัญลักษณ์ของมรดกทางปัญญาที่เมืองนี้มีต่อโลก ฉันยืนชื่นชมรูปปั้นนี้ครู่หนึ่ง พลางนึกถึงความสำคัญของ Khiva ไม่เพียงแต่ในฐานะศูนย์กลางการค้าในอดีต แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของนักคิดผู้ทรงอิทธิพล ก่อนจะเดินไปดูแผนที่เมืองเพื่อทำความเข้าใจเส้นทางและประวัติศาสตร์ของ Khiva ให้ลึกซึ้งขึ้น
จากนั้นฉันมุ่งหน้าไปยัง Muhammad Amin Khan Madrasah โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามที่ใหญ่ที่สุดของ Khiva สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยข่าน Muhammad Amin เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาอิสลามและพัฒนาบุคลากรด้านศาสนาให้กับอาณาจักร Khorezm อาคารหลังนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอิฐสีฟ้าประดับกระเบื้องเคลือบลวดลายละเอียดอ่อน สะท้อนถึงศิลปะแบบเปอร์เซียและเอเชียกลาง ปัจจุบันอาคารได้รับการบูรณะและปรับเปลี่ยนให้เป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน
ด้านหน้าของมาดราซาคือหอคอย Kalta Minor Minaret ซึ่งตั้งใจให้เป็นหอคอยที่สูงที่สุดในเอเชียกลาง ข่าน Muhammad Amin วางแผนให้หอคอยแห่งนี้มีความสูงกว่า 70 เมตร เพื่อให้สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลทั่วทะเลทรายไปจนถึงเมืองบุคคารา อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างนี้ต้องหยุดชะงักลงในปี 1855 หลังจากที่ข่านถูกลอบสังหาร ทำให้หอคอยสูงเพียง 29 เมตรเท่านั้น แม้จะไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ Kalta Minor ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของเมือง ด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้าและเขียวที่สะท้อนแสงแดดอย่างงดงาม เสริมเสน่ห์ให้กับบรรยากาศของ Khiva อย่างลงตัว
Kunya Ark ป้อมปราการเก่าแก่ของเมือง Khiva หรือที่รู้จักกันในชื่อ Kuhna Ark เป็นศูนย์กลางอำนาจของข่านแห่ง Khiva ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดย Muhammad Erenk Khan เพื่อเป็นที่ประทับของข่านและที่ทำการบริหารราชการ ภายในประกอบด้วยพระราชวัง ห้องประชุม ลานว่าราชการ คลังสมบัติ และคุกใต้ดิน ตัวป้อมถูกสร้างขึ้นแยกจากกำแพงเมืองหลัก เพื่อเป็นเขตปกครองพิเศษของข่านและราชสำนัก
เราได้ขึ้นไปยังหอคอยของ Kunya Ark เพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองจากมุมสูง ภาพของกำแพงดินเหนียวที่โอบล้อมเมืองเก่า มินาเร็ตสูงตระหง่านของ Juma Mosque และ Islam Khoja Minaret ตัดกับเส้นขอบฟ้าสร้างความประทับใจอย่างยิ่ง เมืองทั้งเมืองดูราวกับหยุดเวลาไว้ ผู้คนเดินเล่นไปมาในตรอกแคบๆ ของเมืองเก่าซึ่งได้รับการสงวนไว้เพื่อการท่องเที่ยว บรรยากาศในช่วงสายยังไม่สวยงามนัก ฉันจึงตัดสินใจวางแผนกลับมาอีกครั้งในช่วงเย็น เพื่อเก็บภาพในแสงสุดท้ายของวัน
ฉันเดินต่อไปยัง Zindon อดีตคุกใต้ดินของเมือง Khiva ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยข่านแห่ง Khiva เพื่อใช้คุมขังนักโทษการเมือง อาชญากร และเชลยศึกจากสงคราม ตัวคุกตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Kunya Ark ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของข่าน สะท้อนถึงระบบการปกครองที่เข้มงวดในยุคนั้น
ภายใน Zindon มีห้องขังแคบๆ ที่มืดและเย็นชื้น เป็นที่คุมขังนักโทษในสภาพที่โหดร้าย หนึ่งในสถานที่ที่น่าขนลุกที่สุดคือ “หลุมแห่งความมืด” ซึ่งเป็นห้องขังใต้ดินลึกลงไปจากพื้น นักโทษที่ถูกขังที่นี่แทบไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ บางคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในความมืดจนเสียสติ ไกด์เล่าเรื่องราวของนักโทษที่พยายามหลบหนี แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของผู้คุม
แม้ว่าวันนี้ Zindon จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ผนังอิฐเก่าแก่และร่องรอยของลูกกรงเหล็กยังคงเป็นพยานแห่งอดีตที่น่าหวาดหวั่น สะท้อนให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์ Khiva ที่ไม่ใช่แค่ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวของความทุกข์ทรมานและความไม่เท่าเทียมในยุคสมัยก่อน
จุดหมายต่อไปคือมัสยิด Juma Mosque หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดของ Khiva มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นด้วยเสาไม้แกะสลักโบราณ 218 ต้น ซึ่งแต่ละต้นมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์และสะท้อนถึงช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน บางต้นมีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 10 ขณะที่บางต้นถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลังเพื่อบูรณะและเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้างดั้งเดิม
มัสยิดแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตรงที่ไม่มีโดมขนาดใหญ่เหมือนมัสยิดอื่นๆ ในภูมิภาค แต่กลับออกแบบให้มีหลังคาเปิดโล่งบางส่วนเพื่อให้แสงธรรมชาติส่องผ่าน สร้างบรรยากาศที่สงบและศักดิ์สิทธิ์ การออกแบบนี้ยังช่วยให้ภายในมัสยิดเย็นสบายแม้ในช่วงฤดูร้อนอันร้อนระอุของเอเชียกลาง
Juma Mosque เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและสังคมของ Khiva มาหลายศตวรรษ และยังคงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของชาวมุสลิมในปัจจุบัน เดินอยู่ท่ามกลางเสาไม้โบราณเหล่านี้ ฉันรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปสู่ยุคที่เมืองนี้เป็นศูนย์กลางอารยธรรมของเอเชียกลาง
ไกด์พาฉันเดินไปถึงสุสานแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มอีก 20,000 Som เมื่อเข้าไป ฉันพบว่ามีคนกลุ่มเล็กๆ นั่งรวมกันอยู่แล้ว ไกด์ส่งสัญญาณให้ฉันนั่งลงด้วย ทันใดนั้น พิธีสวดมนต์ก็เริ่มต้นขึ้น เสียงสวดดังขึ้นก้องกังวานภายในห้องโถงของสุสาน ฉันนั่งนิ่ง ฟังบทสวดที่ไม่คุ้นเคยด้วยความสงสัย และพยายามจับความหมายของบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์นี้
แม้จะไม่เข้าใจคำสวด แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความศรัทธาและความเคารพที่คนในท้องถิ่นมีต่อสถานที่แห่งนี้ บรรยากาศเงียบสงบและเต็มไปด้วยความรู้สึกทางจิตวิญญาณ หลังจากจบพิธี ฉันลุกขึ้นเดินออกมาอย่างเงียบๆ พร้อมกับตั้งคำถามในใจว่าการเข้าร่วมพิธีกรรมเหล่านี้ต้องเสียเงิน หรือนั่นเป็นค่าธรรมเนียมการเข้าสถานที่นี้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ ฉันเห็นหลายคนเดินไปจ่ายเงินกันทุกคน หรืออาจเป็นเงินบริจาค ทำบุญก็ได้
ต่อไปคือ Pakhlavan Mahmoud Mausoleum สุสานของ Pakhlavan Mahmoud วีรบุรุษ นักปราชญ์ และกวีแห่งศตวรรษที่ 14 ซึ่งยังเป็นนักมวยปล้ำในตำนานของชาว Khiva Pakhlavan Mahmoud ไม่เพียงมีชื่อเสียงด้านกีฬาต่อสู้ แต่ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาและจิตวิญญาณ คำสอนของเขาถูกถ่ายทอดผ่านบทกวีและคำสอนด้านปรัชญา ซึ่งมีอิทธิพลต่อชาว Khiva มาจนถึงปัจจุบัน
สุสานแห่งนี้เดิมเป็นสถานที่ฝังศพส่วนตัว แต่ในศตวรรษที่ 19 ได้รับการขยายและตกแต่งใหม่โดยข่านแห่ง Khiva เพื่อให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมือง โครงสร้างภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องเซรามิกสีฟ้าและเขียวสดใส ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะแบบ Khorezmian ผสมผสานกับลวดลายเรขาคณิตและอักษรอาหรับที่สลักไว้บนผนัง ภายในยังเป็นที่ตั้งของสุสานข่านและบุคคลสำคัญอื่นๆ ของ Khiva
ค่าเข้าชมเพิ่มอีก 25,000 Som ฉันตั้งใจฟังไกด์เล่าเรื่องราวของบุคคลสำคัญผู้นี้ พร้อมซึมซับบรรยากาศทางประวัติศาสตร์ที่แฝงไปด้วยความเคารพและศรัทธาที่ผู้คนมีต่อวีรบุรุษของพวกเขา
ไกด์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับธรรมเนียมการฝังศพของเมือง Khiva ซึ่งเป็นไปตามหลักศาสนาอิสลามที่กำหนดให้หลุมฝังศพต้องอยู่นอกเขตเมือง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพื้นที่อยู่อาศัยและศาสนสถาน การฝังศพภายในเมืองเก่าจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใน Ichan Kala ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการปกครองของข่านแห่ง Khiva อย่างไรก็ตาม บุคคลสำคัญ เช่น ข่าน และนักปราชญ์บางท่าน อาจได้รับเกียรติให้ฝังในสุสานพิเศษ เช่น Pakhlavan Mahmoud Mausoleum ซึ่งกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้ศรัทธามาจนถึงปัจจุบัน
ที่สุดท้ายที่ไกด์พาไปชมคือ Tosh-Hovli Palace หรือ “พระราชวังแห่งหิน” ซึ่งสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดย Allakuli Khan พระราชวังแห่งนี้ได้รับการออกแบบอย่างหรูหรา ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบเปอร์เซียและเอเชียกลาง ภายในแบ่งออกเป็นหลายส่วน รวมถึงฮาเร็ม ห้องว่าราชการ และเขตที่อยู่อาศัยของข่าน ผนังประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลวดลายสีฟ้าและขาว พร้อมด้วยงานไม้แกะสลักที่ละเอียดอ่อน สะท้อนถึงความมั่งคั่งและอิทธิพลของข่านแห่ง Khiva ในยุคนั้น
หนึ่งในส่วนที่น่าสนใจที่สุดของพระราชวังคือ ฮาเร็ม ซึ่งเป็นเขตพำนักของบรรดาภรรยาและนางสนมของข่าน ว่ากันว่ามีหญิงสาวจำนวนมากถูกคัดเลือกจากภูมิภาคต่างๆ มาประจำอยู่ในฮาเร็มแห่งนี้ พวกเธอถูกควบคุมอย่างเข้มงวด และมีชีวิตที่หรูหราแต่ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ฮาเร็มถูกออกแบบให้มีลานกว้างตรงกลาง ล้อมรอบด้วยห้องพักที่ตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เพื่อให้เหมาะสมกับฐานะของหญิงสาวที่อาศัยอยู่ที่นี่
นอกจากนี้ Tosh-Hovli Palace ยังสะท้อนถึงระบบชนชั้นและโครงสร้างทางสังคมของ Khiva ในยุคนั้น พระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่สำหรับบริวาร ข้าราชการ และทาสซึ่งถูกควบคุมอยู่ภายในกำแพงของพระราชวัง ทาสบางคนทำหน้าที่รับใช้ในฮาเร็ม ขณะที่บางคนถูกใช้แรงงานในส่วนอื่นของพระราชวัง โครงสร้างนี้แสดงให้เห็นถึงลำดับชนชั้นที่เข้มงวดในยุคข่าน
หลังจากชื่นชมความงามของพระราชวัง ไกด์ชี้ให้ฉันเดินชม Allakuli Khan Caravanserai และ Allakuli Khan Tim Market ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าในอดีต Caravanserai แห่งนี้เคยเป็นที่พักของพ่อค้าคาราวานที่เดินทางมาตามเส้นทางสายไหม และเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างพ่อค้าชาวเปอร์เซีย รัสเซีย และเอเชียกลาง ส่วน Tim Market ซึ่งอยู่ติดกัน เคยเป็นตลาดในร่มที่จำหน่ายผ้าไหม เครื่องเทศ และสินค้าฟุ่มเฟือย ปัจจุบันพื้นที่เหล่านี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นตลาดขายของที่ระลึก เต็มไปด้วยสินค้าพื้นเมือง เช่น พรมทอมือ เครื่องประดับ และเซรามิกลวดลายโบราณ แม้ว่าบรรยากาศการค้าขายจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่สถานที่เหล่านี้ยังคงสะท้อนถึงความสำคัญของ Khiva ในฐานะศูนย์กลางการค้าในอดีต
สามชั่วโมงผ่านไป ฉันใช้จ่ายไปประมาณ 350,000 Som หรือราวพันกว่าบาท แม้จะแพงไปนิดสำหรับการเดินเที่ยวคนเดียว แต่ก็ได้เปิดหูเปิดตามากกว่าการแค่เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ อย่างเดียว สุดท้ายแล้วยังอดขำตัวเองไม่ได้ที่เสียเงินเข้าไปนั่งชมพิธีกรรมที่ไม่เข้าใจเลยสักนิด
ชิมอาหารท้องถิ่น
เที่ยงนี้ ฉันแวะชิม Manti อาหารท้องถิ่นยอดนิยมของอุซเบกิสถาน ซึ่งมีลักษณะคล้ายเสี่ยวหลงเป่า เป็นเกี๊ยวแป้งบางนึ่ง ไส้ด้านในทำจากเนื้อแกะหรือเนื้อวัว ปรุงรสด้วยหัวหอมและเครื่องเทศเฉพาะตัว กลิ่นหอมของมันทำให้รสชาติเป็นเอกลักษณ์ ตบท้ายด้วย บัคลาวา ขนมหวานสไตล์ตะวันออกกลางที่ทำจากชั้นแป้งบางๆ ประกบไส้ถั่วและราดด้วยน้ำผึ้ง แต่ว่าชิ้นนี้ค่อนข้างเหนียวและแข็งไปหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ให้พลังงานดีทีเดียวสำหรับการเดินชมเมืองต่อ
เดินชมกำแพงเมืองยามบ่าย
ช่วงบ่าย ฉันขึ้นกำแพงเมืองที่ ประตู Bogcha ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ประตูสำคัญของ Ichan Kala เสียค่าเข้าชมอีก 20,000 Som กำแพงเมืองนี้สร้างขึ้นจากอิฐดินเหนียว อัดแน่นจนมีความหนาหลายเมตร เพื่อปกป้องเมืองจากศัตรูในอดีต พื้นผิวของกำแพงเผยให้เห็นร่องรอยของกาลเวลา บางจุดยังคงมีร่องรอยการบูรณะจากยุคข่านแห่ง Khiva
ฉันก้าวเดินไปตามแนวกำแพงเมืองที่ร้อนระอุจากแสงแดดยามบ่าย ขณะที่สายลมแรงยังคงพัดผ่านราวกับจะท้าทายความเงียบงันของเมืองเก่า ความร้อนและสายลมเย็นจากทะเลทรายคาราคุมโอบล้อมรอบตัว ทำให้การเดินชมเมืองกลายเป็นประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกแปลกใหม่ ในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครอื่นอยู่บนกำแพงนอกจากฉัน ความเงียบสงบทำให้ฉันสามารถหยุดยืน และทอดสายตามองลงไปยัง Khiva ที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่างราวกับภาพวาดที่หยุดนิ่งไว้ด้วยกาลเวลา
จากจุดนี้ ฉันมองเห็นเส้นขอบฟ้าของ Khiva ที่ประดับไปด้วยยอดมินาเร็ตสูงสง่าและโดมของมัสยิด ตัดกับฉากหลังของทะเลทรายที่เวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุด ทิวทัศน์ที่ฉันเห็นอยู่เบื้องหน้าคือภาพสะท้อนของยุคสมัยที่เมืองนี้เคยเป็นจุดหมายสำคัญบนเส้นทางสายไหม นักเดินทางและพ่อค้าเคยหยุดพักที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า เรื่องราว และวัฒนธรรม วันนี้แม้กองคาราวานจะหายไป แต่กลิ่นอายแห่งอดีตยังคงล่องลอยอยู่ในสายลม ส่วนเมืองเก่า Khiva ยังคงรักษามนต์เสน่ห์ของเมืองโบราณที่ร้อยเรียงเรื่องราวนับศตวรรษไว้ในกำแพงอย่างเต็มเปี่ยม
ระหว่างทางกลับ ฉันผ่านพิพิธภัณฑ์ Khorezm ซึ่งรวบรวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรโครเรซม์ ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของเส้นทางสายไหม จนถึงช่วงเวลาที่เมืองนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย ฉันค่อยๆ เดินอ่าน พยายามทำความรู้จักและเข้าใจ Khiva ให้มากขึ้น ตั้งใจว่าจะกลับไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมระหว่างการเดินทางบนรถไฟในวันพรุ่งนี้
หลังจากเดินเที่ยวมาจนเพลีย ฉันกลับไปพักเอาแรงที่ห้อง กินไอศกรีมดับร้อน และวางแผนออกไปถ่ายภาพช่วงเย็น
พระอาทิตย์ตกที่ Kuhna Palace
เย็นนี้ ขณะที่ฉันเดินผ่าน ประตู Palvan ได้เห็นกองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังบันทึกฉาก นักแสดงแต่งกายในชุดโบราณ ราวกับภาพอดีตที่มีชีวิตอยู่ตรงหน้า ฉันมองไปรอบๆ และอดคิดไม่ได้ว่า เมืองเก่าแห่งนี้คงเป็นสถานที่ถ่ายทำของภาพยนตร์มานับไม่ถ้วน เพราะความงดงามของฉากหลังและแสงสุดท้ายของวันทำให้ Khiva ดูเสมือนถูกดึงออกมาจากหน้าหนังสือประวัติศาสตร์
ฉันเดินต่อไปยัง Kuhna Palace และขึ้นไปยังจุดชมวิวบนดาดฟ้า ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ฉันต้องหยุดหายใจชั่วขณะ แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าสาดกระทบโดมมัสยิดและยอดมินาเร็ตสูงเสียดฟ้า แปรเปลี่ยนเมืองเก่าให้ดูราวกับฉากในนิทานอาหรับ ยอดแหลมของ Islam Khoja Minaret และเสาไม้ของ Juma Mosque ยิ่งขับให้บรรยากาศยามเย็นเต็มไปด้วยมนต์ขลัง






Leave a Reply