Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

หลังจากออกจากย่าติง เส้นทางกลับพาเราผ่านความงามอีกแบบหนึ่งของธรรมชาติ หิมะเริ่มตกตั้งแต่เช้า จากตกเบา ๆ ระหว่างที่รถเลาะลงจากเขา ไม่ทันไรก็ตกหนักจนมองเห็นหิมะขาวปกคลุมยอดไม้ ขอบถนน และกระจกหน้ารถ

บางช่วงมีต้นไม้หักลงมากีดขวางทาง ต้องช่วยกันลุ้นและเตือนคนขับรถให้ระวังทุกโค้ง แต่ถึงอย่างนั้น ม่านหิมะที่โปรยลงมากลับทำให้วิวระหว่างทางดูเหมือนภาพวาดจีน สีขาว สีเทา และเส้นเงาของยอดเขาท่ามกลางหมอก

พอรถลงสู่ที่ราบ ท้องฟ้ากลับเปิดอย่างน่าแปลกใจ แดดบาง ๆ เริ่มส่องผ่านเมฆ เราแวะพักทานกลางวันแถวทุ่งหญ้านาพาไห่ เป็นร้านอาหารที่มีทั้งเมนูตะวันตก ผสมไปกับเมนูท้องถิ่นในร้านที่ตกแต่งทันสมัย ร้านติดกระจกใหญ่เพื่อให้ได้นั่งชมวิวทุ่งหญ้าด้านนอกแบบสบายๆระหว่างทานอาหาร

ช่วงบ่ายเราเข้าสู่ ลี่เจียง อีกครั้ง เมืองเก่าที่คราวนี้ดูอบอุ่นและคึกคักกว่าตอนต้นทริป เราเดินชมเมืองเก่า ขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน มองเห็นหลังคากระเบื้องโบราณเรียงกันแน่นหนาเหมือนคลื่นที่นิ่งอยู่กลางหุบเขา บางจังหวะของลม ทำให้เงาของโคมแดงขยับไหว เหมือนเมืองนี้ยังมีชีวิต หายใจเบา ๆ ไม่เคยหยุด

เมืองโบราณลี่เจียง มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี เคยเป็นศูนย์กลางการค้าบนเส้นทางสายชาม้าโบราณที่เชื่อมโยงยูนนานกับทิเบต เป็นทั้งจุดพักของพ่อค้าและศูนย์กลางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ต่างๆโดยเฉพาะชาวน่าซี่ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นี่ และมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เมืองนี้แตกต่างจากเมืองเก่าอื่น ๆ ในจีนอย่างเด่นชัด นั่นคือ ระบบจัดการน้ำ ที่ชาญฉลาดและสวยงามในเวลาเดียวกัน

น้ำใส ๆ จากลำธารที่ไหลมาจากภูเขาหิมะมังกรหยก ถูกชักเข้าสู่เมืองผ่านทาง ระบบคูคลองสาขา เล็กใหญ่ที่ไหลกระจายไปทั่วตัวเมือง ผ่านใต้สะพานหิน ผ่านหน้าบ้าน และหน้าร้านน้ำชา น้ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างทัศนียภาพที่งดงาม แต่ยังถูกใช้จริงในชีวิตประจำวัน ทั้งใช้ดื่ม ใช้ซักล้าง และยังช่วยดับไฟหากเกิดเพลิงไหม้

ชาวเมืองลี่เจียงมีวิธีจัดสรรการใช้น้ำร่วมกันอย่างรู้จังหวะ สายน้ำในเมืองจึงเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิต และช่วยให้เมืองเก่านี้ยังคง “มีชีวิต” แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี

ชาวน่าซีมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งในเรื่องภาษา การแต่งกาย และประเพณี โดยเฉพาะ ระบบสืบตระกูลทางมารดา และ อักษรตงปา ซึ่งเป็นภาษาเขียนภาพโบราณที่ยังมีการใช้ในพิธีกรรมบางอย่างจนถึงทุกวันนี้ วัฒนธรรมของชาวน่าซีผสมผสานระหว่างพุทธ ลัทธิเต๋า และความเชื่อพื้นบ้านได้อย่างกลมกลืน และสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในจังหวะชีวิตของเมืองนี้

ลงมาด้านล่าง เราได้ชม การเต้นรำกลางลานเมือง ที่นำโดยชาวน่าซี คนท้องถิ่นจำนวนมากร่วมกันเต้นรำเป็นวงใหญ่ กลุ่มนักท่องเที่ยวเองก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปร่วมสนุกด้วย ดนตรีพื้นบ้าน เสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม กลายเป็นภาษากลางที่ไม่ต้องแปล ทุกคนเข้าใจกันได้ดี

จังหวะการก้าวเท้าไปพร้อมกันในวงใหญ่ ดูเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยพลังบางอย่าง คล้ายกับลมหายใจของเมือง ที่แม้จะมีอายุหลายร้อยปี แต่ก็ยังเต้นเป็นจังหวะเดียวกับผู้คนตรงหน้าตอนนี้

ฉันเคยมาเมืองจีนหลายครั้ง และมีโอกาสเห็น การเต้นรำของชนพื้นเมือง ตามเมืองต่าง ๆ อยู่บ้าง
สิ่งที่ชอบและประทับใจเสมอคือ การที่จีนสามารถ รักษาวัฒนธรรมเหล่านี้ เอาไว้ได้อย่างแนบเนียนกับการท่องเที่ยว
ไม่ใช่แค่จัดแสดงให้ดู แต่เป็นการปล่อยให้มัน “หายใจ” อยู่จริง ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คน
อย่างที่ลี่เจียงในเย็นวันนี้กำลังทำอยู่

ภูเขาหิมะมังกรหยก

เช้าวันถัดมา เราออกเดินทางไปยัง ภูเขาหิมะมังกรหยก ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวน่าซี ที่มีความสูงกว่า 5,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล กระเช้าลอยฟ้าค่อย ๆ พาเราลอยขึ้นจากพื้นดิน ไปยังระดับความสูง 4,680 เมตร เบื้องล่างค่อย ๆ จางหาย กลายเป็นภาพของป่าสนปกคลุมด้วยหิมะ และภูเขาเทา ๆ ที่เหมือนถูกวาดด้วยหมึกเจือจาง

เช้านั้น หิมะยังตกโปรย ๆ ตั้งแต่เช้า ฟ้าด้านบนยังไม่เปิดนัก
แสงแดดไม่มี แต่ลมมีเต็มที่
อากาศบาง ลมหายใจเริ่มถี่ ต้องหยุดพักเป็นระยะ

แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังพยายามเดินไปให้ถึง จุดสูงสุดที่เส้นทางพาไป
เป็นการเดินแบบไม่เร่ง ไม่ฝืน แต่ไม่ยอมแพ้

ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกิดขึ้นระหว่างทาง
ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีแสงสวย ๆ
มีเพียงความเงียบ เสียงหอบของตัวเอง
กับความรู้สึกว่า…การได้มาอยู่ตรงนี้ คือรางวัลของการเดินทางทั้งหมด

หลังจากลงจากภูเขา เราไปชม Impression Lijiang การแสดงกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่จัดขึ้นในลานโล่ง โดยมีภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลัง นักแสดงกว่า 500 ชีวิต เป็นชาวบ้านจากกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ ชุดหลากสี เสียงร้องและการเคลื่อนไหวหนักแน่น ทำให้เราเหมือนได้ฟังเรื่องเล่าของลี่เจียง ผ่านภาษาของคนที่อยู่กับเมืองนี้มาทั้งชีวิต

ต่อจากนั้น เราแวะไปที่ Blue Moon Valley หรือ หุบเขาพระจันทร์สีนํ้าเงิน “ไป๋สุ่ยเหอ”หุบเขาสีฟ้าอ่อนที่ธารน้ำไหลลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ ราวกับขั้นบันไดแก้ว สีของน้ำฟ้าใสซึ่งไกด์บอกว่าเป็นสีธรรมชาติจากแร่ธาตุที่ตกผลึกอยู่ในน้ำ ไม่ได้แต่งภาพ ไม่ได้หลอกตา ธรรมชาติล้วน ๆ ยกเว้นว่ามีการตกแต่งชั้นน้ำตกให้สวยขึ้นนิดหน่อย

เย็นวันนั้น เราได้กลับเข้าไปเดินในเมืองโบราณอีกครั้ง เพราะโรงแรมที่พักอยู่ใกล้แค่เดินถึง ทำให้ช่วงเย็น ๆ แบบนี้กลายเป็นเวลาทองในการเก็บบรรยากาศของเมืองเมืองเก่าอีกรอบ ไกด์อาฉี พาเราไปทานมื้อใหญ่อีกครั้งในร้านอาหารสุดหรู

หลังอาหาร เราแวะร้านขายชา เพื่อซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน อาฉีแนะนำว่า ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่า ชาผูเอ๋อ ชาท้องถิ่นของยูนนานที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม และ ความสามารถในการเปลี่ยนรสไปตามกาลเวลา

เขาหยิบชาก้อนกลม ๆ มาให้เราดู บอกว่า “บางก้อนเก็บไว้เป็นสิบปี ยิ่งนานยิ่งนุ่ม ยิ่งลึก”
และเล่าเสริมว่า “ผูเอ๋อ” ก็คือชื่อเมืองในยูนนานที่ปลูกชาคุณภาพดีที่สุด เป็นศูนย์กลางการซื้อขายชามาตั้งแต่สมัยโบราณ

ตอนนั้นฉันคิดว่า…มันช่างคล้ายกับการเดินทางครั้งนี้ของเราจริง ๆ
ไม่หวือหวา ไม่รีบร้อน แต่ ยิ่งเดิน ยิ่งลึก ยิ่งน่าจดจำ

เช้าที่ลี่เจียง แสงอาทิตย์สีอ่อน และยอดเขาที่บอกลาเราอย่างสง่างาม

เช้าวันที่เราลาจากลี่เจียง กลายเป็นเช้าที่อากาศสดใสที่สุดในหลายวันที่ผ่านมา
ฟ้าเปิด เมฆเบาบาง
และที่ สถานีรถไฟ ซึ่งเรากำลังจะออกเดินทางไปคุนหมิงนั้น
ยอดเขาหิมะมังกรหยก ก็ปรากฏตัวอย่างชัดเจน เหมือนจะออกมาส่งพวกเราด้วยตัวเองในนาทีสุดท้าย

ภาพของยอดเขาขาวที่เราเคยยืนอยู่ กลายเป็นภาพมองจากไกล
และจากนี้ไป การเดินทางของเราก็เริ่มย้อนกลับ

กลับคุนหมิง เตรียมตัวกลับไทย

เมื่อถึงคุนหมิง เรามีเวลาอีกหนึ่งวันเต็มก่อนบินกลับ เราเริ่มต้นด้วยการไปยัง Kunming Waterfall Park — สวนน้ำตกขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของเมือง
ที่นี่ถือเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของคุนหมิง เป็น น้ำตกที่มนุษย์สร้างขึ้น กว้างกว่า 400 เมตร
เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำน้ำจากแม่น้ำ Nuilan ไปสู่ทะเลสาบ Dianchi Lake

จากนั้นไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ ถนนคนเดินจินปี้ลู่ ถนนคนเดินที่เก่าแก่ที่สุดในคุนหมิง ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
ตรงกลางของถนนมีซุ้มประตูคู่ ประตูม้าทองและไก่หยก หรือ จินหม่า–ปี้จี
จุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ทุกคนต้องแวะมาสัมผัส

ย่านนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ท้องถิ่น เราได้กลิ่นหอมของเนื้อย่างเกลือ หม้อไฟยูนนาน และของกินเล่นลอยมาในอากาศตลอดทาง ได้ซื้อของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ พร้อมเดินเก็บบรรยากาศ

แวะชมการเต้นรำของชาวทิเบต ที่มาล้อมวงเต้นรำ ฉันสังเกตว่า การเต้นรำของชาวทิเบต ที่เคยเห็น หรือบางคนในวงนี้น่าจะมาจากพื้นที่ใกล้เคียง พวกเขาใช้แขนในการเต้นอย่างมาก แขนของพวกเขาไม่ใช่แค่เคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรี แต่ แสดงออกถึงความรู้สึก อย่างตั้งใจ
บางครั้งยกขึ้นสูงเหมือนโบกมือให้ท้องฟ้า
เหยียดออกช้า ๆ เหมือนส่งบางอย่างออกไปจากใจ
มันไม่ใช่แค่ “เต้น” แต่เหมือนการเต้นที่มีเรื่องราว ฉันก็ไม่เข้าใจความหมายของมันหรอก ได้แต่นั่งชมด้วยความประทับใจ กับความแปลกของท่าเต้นตรงหน้าว่าช่างมีเอกลักษณ์

นั่นเป็นช่วงสุดท้ายของทริปที่เต็มไปด้วยจังหวะที่ไม่เร่งรีบ

หนึ่งในมื้ออาหารสุดท้ายของการเดินทาง คือ ชุดอาหารเห็ดหลากหลายชนิด
ยูนนานขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนของเห็ดป่า ทั้ง เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดหนู เห็ดขาว และอีกหลายชนิดที่เราเรียกชื่อไม่ถูก
แต่พอชิมกลับจำรสชาติได้ขึ้นใจ — รสสด หวานธรรมชาติ ละมุนโดยไม่ต้องพึ่งรสจัด
เป็นมื้อที่เรียบง่าย แต่เหมาะสมกับบทสรุปของการเดินทางที่ผ่านมาทั้งหมด

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.