Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

เราเริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบินไทย มุ่งหน้าสู่ คุนหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน

ไฟลท์บินใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึงสนามบิน ฉางสุ่ย ของคุนหมิง ทุกอย่างผ่านไปค่อนข้างราบรื่น โดยเฉพาะเรื่องวีซ่ากรุ๊ปที่ได้รับตัวจริงเรียบร้อย ผ่านตม.ไวมาก ไม่ถึงสิบห้านาที แต่…ต้องมารออีกเกือบชั่วโมงตรงสายพานกระเป๋า เพราะแม้จะเรียงกระเป๋าเป็นระเบียบสุด ๆ แต่กว่าจะหมุนมาก็เล่นเอารอลุ้นกันไปหลายตลบ

หน้าสนามบิน เราได้เจอกับไกด์ประจำทริปชื่อ ตะวัน หรือชื่อจีนคือ อาฉี (บางคนเรียกเสี่ยวฉี) คนจีนที่พูดไทยได้ชัดมาก และมีพลังพูดคุยไม่หยุด ถือเป็นสีสันประจำรถเลยก็ว่าได้

จากสนามบิน เรานั่งรถต่อไปยัง สถานีรถไฟความเร็วสูงคุนหมิง ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางได้เห็นภาพเมืองคุนหมิงแบบผ่าน ๆ กว้างใหญ่ มีตึกสูงแบบเมืองจีนแท้ ๆ ที่ดูอลังการแต่เป็นระเบียบ

รถไฟความเร็วสูงออกเวลา 17.23 น. ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมงกว่า ระหว่างทางเราทานมื้อเย็นง่าย ๆ บนรถไฟ พอหัวค่ำ รถไฟก็เข้าสู่สถานี ลี่เจียง ในเวลาประมาณสี่ทุ่ม

รถที่มารับคือรถโค้ชใหญ่ ใหม่ และหรูหรากว่าทุกครั้งที่เคยเดินทางมา รู้เลยว่าทริปนี้จัดการดีมาก เพราะทริปให้ “ทริปดีดี” ช่วยจัดการทุกอย่าง

ที่พักในลี่เจียงสวยมาก บรรยากาศเหมือนโรงเตี๊ยมแบบจีนโบราณ ห้องพักอบอุ่น เตียงนุ่ม อาบน้ำสระผมสบาย ๆ เพราะรู้ว่าเมืองนี้ยังอยู่ที่ความสูงประมาณ 2,000 เมตร ร่างกายยังรับได้ดี ก่อนจะเดินทางขึ้นสู่ แชงกรีล่า ที่สูงกว่า 3,000 เมตรในวันรุ่งขึ้น


ระหว่างทาง – โค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง และเสือกระโจนในหุบเขา

ระหว่างออกจากลี่เจียง มุ่งหน้าสู่แชงกรีล่า ไกด์พาเราแวะจุดชมวิวที่ชื่อว่า โค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นอาฉีชี้ให้ดูอย่างภาคภูมิใจ แล้วบอกว่า “นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของแม่น้ำแยงซีเกียงที่ไหลไปทางตะวันออก!”

ตอนนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ในใจว่า…ทำไมเราต้องมาดู “โค้งแรก” ด้วยนะ? ทุกโค้งก็ดูเหมือนกัน แต่พอฟังอาฉีอธิบาย ก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่รูปร่างของแม่น้ำ แต่มันคือ “จุดเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์

แม่น้ำแยงซีเกียง (Yangtze River หรือที่จีนเรียกว่า ฉางเจียง) คือแม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศจีน และเป็นสายเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงแผ่นดินจีนมายาวนาน มันเริ่มต้นจากที่ราบสูงทิเบต แล้วไหลผ่านเมืองใหญ่ต่าง ๆ จนถึงทะเลจีนตะวันออก จุดโค้งแรกนี้ถือเป็นจุดที่แม่น้ำเปลี่ยนทิศจากเหนือ–ใต้ เป็นตะวันออก ซึ่งมีผลต่อการตั้งถิ่นฐาน การค้าขาย และเส้นทางเดินเรือในอดีต หากเราตามแม่น้ำสายนี้ไปเรื่อย ๆ จะผ่านเมืองใหญ่ ๆ ของจีน จนถึงพื้นที่ที่เรียกว่า เจียงหนาน (Jiangnan)

คำว่า เจียงหนาน แปลตรงตัวว่า “ทางใต้ของแม่น้ำ” หมายถึงดินแดนที่อยู่ทางใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงตอนล่าง โดยเฉพาะแถบเมืองหางโจว ซูโจว หนานจิง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมละเอียดอ่อน และมักถูกพูดถึงในบทกวีหรือภาพวาดจีนโบราณว่าเป็นดินแดนที่งดงามและโรแมนติก

ตอนนั้นในรถยังแซวกันเล่น ๆ ว่า เวลาดูหนังจีนโบราณทีไร ชอบพูดถึง “จงหยวน” กับ “เจียงหนาน” เหมือนเป็นหัวใจของอารยธรรมจีน แต่อาฉีบอกว่า สองคำนี้อยู่กันคนละฝั่ง — จงหยวน คือแผ่นดินกลางแถบแม่น้ำเหลือง ส่วน เจียงหนาน คือดินแดนศิวิไลซ์ทางใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง ที่เต็มไปด้วยคลอง สะพานหิน และเสียงพิณเบา ๆ จากบ้านเรือนริมน้ำ

แม้ตอนนี้เรายังอยู่ในภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน แต่การได้เห็นจุดเริ่มต้นของแม่น้ำแยงซีเกียงตรงหน้า ก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้เชื่อมโยงกับเส้นทางวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ทอดยาวข้ามประเทศ มันทำให้ภาพในหนังจีนที่เคยดู…ดูมีชีวิตมากขึ้น

จากจุดชมวิวโค้งแรก เราเดินทางต่อไปยัง หุบเขาเสือกระโจน ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหุบเขาที่ลึกที่สุดในโลก เกิดจากแม่น้ำจินซาที่ไหลคดเคี้ยวระหว่างสองยอดเขาสูงคือ ภูเขาหิมะมังกรหยก และ ภูเขาหิมะฮาปา เสียงน้ำไหลเชี่ยวกระแทกโขดหินด้านล่างดังสนั่นทั้งหุบเขา ทำให้รู้สึกตัวเล็กลงทันทีเมื่อยืนอยู่ตรงนั้น

ตามตำนานท้องถิ่น เสือเคยกระโดดข้ามแม่น้ำช่วงที่แคบที่สุดของหุบเขาเพื่อหนีนายพราน และนั่นคือที่มาของชื่อ “หุบเขาเสือกระโจน” ที่แห่งนี้ไม่ได้สวยแบบหวือหวา แต่มีพลังดิบ ๆ ของธรรมชาติที่สัมผัสได้

เดินทางสู่แชงกรีล่า

จากหุบเขาเสือกระโจน ถนนเริ่มสูงชันขึ้นเรื่อย ๆ เข้าสู่พื้นที่ราบสูงทิเบต อากาศเย็นลงอย่างชัดเจน เราเข้าสู่เขต แชงกรีล่า หรือชื่อเดิมว่า จงเตี้ยน เมืองที่ได้แรงบันดาลใจจากนิยายเรื่อง “Lost Horizon” จนกลายเป็นชื่อเรียกขานที่สื่อถึงดินแดนสงบสุขในอุดมคติ

บรรยากาศของแชงกรีล่าแตกต่างจากที่ผ่านมาทั้งหมด ท้องฟ้าสีฟ้าเข้ม เมฆลอยต่ำ บ้านเรือนสไตล์ทิเบต และกลิ่นธูป ลอยมาแตะจมูกจากศาลเจ้าในเมือง

หนึ่งในจุดที่เราชอบที่สุดคือ วัดซงจ้านหลิง หรือที่หลายคนเรียกว่า วัดโปตาลาน้อย วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง มีอายุเกือบ 400 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขา ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง และธงมนต์ที่ปลิวไสวกับลม บันไดหินทอดยาวขึ้นไปยังพระอุโบสถหลัก ด้านในเงียบสงบ แต่ด้านนอกกลับเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แต่งชุดทิเบตโบราณเดินหามุมถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน สาว ๆ แต่งหน้าจัดเต็ม สวมเสื้อผ้าสีสดใสพร้อมเครื่องประดับแน่นจนฉันเองยังแอบสนใจร้านแต่งหน้าข้างทางอยู่ไม่น้อย

ระหว่างเดินชมวัด ฉันคุยกับอาฉี ไกด์ของทริป ซึ่งเล่าว่าวัดนี้เคยเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ใช้รองรับการมาจำพรรษาของดาไลลามะในอดีต พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ดาไลลามะอยู่ปักกิ่งนะ” ซึ่งทำเอาฉันชะงักไปเล็กน้อย

เพราะเท่าที่เรารู้กัน… องค์ดาไลลามะ องค์ปัจจุบันคือ องค์ที่ 14 ลี้ภัยออกจากทิเบตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 หลังเหตุการณ์จีนเข้ายึดลาซา และปัจจุบันยังพำนักอยู่ที่ เมืองธรรมศาลา ในอินเดีย จัดตั้งรัฐบาลทิเบตพลัดถิ่น และไม่เคยกลับเข้าสู่แผ่นดินจีนอีกเลยตั้งแต่นั้น

มันอาจจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของไกด์ หรืออาจสะท้อนถึงมุมมองที่ต่างกันของข้อมูลในจีนกับข้อมูลที่เราคุ้นเคยจากโลกภายนอก แต่นั่นก็ทำให้ช่วงเวลาที่อยู่ในวัดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการชมสถาปัตยกรรมหรือซึมซับศรัทธาเท่านั้น แต่มันยังพาให้เราตั้งคำถามถึงเรื่องราวที่ใหญ่กว่านั้น — เรื่องของอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และความเชื่อ ที่ยังคงเป็นประเด็นละเอียดอ่อนจนถึงปัจจุบัน

จากแชงกรีล่า เราเดินทางลึกเข้าไปในเขต เต๋อชิง เมืองเล็ก ๆ ที่เป็นประตูสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เหมยลี่ และที่นี่เองที่เราได้สัมผัสกับเส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำที่สุดแห่งหนึ่ง คือ เส้นทางสายชาโบราณ (Tea Horse Road)

ในอดีต เส้นทางนี้ใช้ลำเลียงชาจากสิบสองปันนา ผ่านยูนนานไปยังลาซาในทิเบต ต่อเนื่องไปถึงเนปาลและอินเดีย พ่อค้าในอดีตต้องแบกชาไปบนหลังม้า–ล่อ เดินข้ามภูเขาหลายพันเมตรผ่านพายุ หิมะ และความเหนื่อยล้า เพื่อแลกกับขนม้า เกลือ และผ้าขนสัตว์

แม้วันนี้เราแค่เดินบนบางช่วงของเส้นทางนี้ แต่มันก็ทำให้จินตนาการถึงขบวนพ่อค้าที่แบกสัมภาระ เดินผ่านหุบเขาและธงมนต์เหมือนที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า มันเป็นเส้นทางที่บอกเล่าความเชื่อมโยงของผู้คนมากกว่าที่แผนที่จะแสดงได้

อีกจุดหมายหนึ่งที่น่าประทับใจคือ ธารน้ำแข็งหมิงหยง ซึ่งไหลลงมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เหมยลี่ เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่ต่ำที่สุดของจีน ลักษณะคล้ายลิ้นน้ำแข็งยาวไหลลงมาแทรกอยู่ระหว่างหุบผา ขาว ฟ้า น้ำเงินสลับกันไปในแสงแดดยามสาย เราเดินไปตามทางไม้ที่เลาะเขา สูดอากาศบาง ๆ เข้าเต็มปอด ก่อนจะหยุดยืนเงียบ ๆ ฟังเสียงลมปะทะยอดเขาแล้วรู้สึกได้ว่าที่นี่…ธรรมชาติเป็นเจ้าของที่แท้จริง


ยูนนานไม่ใช่แค่สถานที่ในแผนที่ แต่มันคือเส้นทางที่พาเราไต่ระดับขึ้นไปพร้อมกับเรื่องราวของผู้คน ธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ เป็นการเดินทางที่ไม่ได้พาไปแค่สถานที่ใหม่ ๆ แต่พาให้เราย้อนกลับไปเห็นรอยเท้าของคนรุ่นก่อนที่เคยผ่านเส้นทางเดียวกันนี้มาก่อนหน้าเราเป็นร้อยปี

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.