เส้นขอบฟ้าทอดยาวไร้สิ้นสุด เหนือผืนทะเลทราย Aralkum ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาสมุทรน้ำเค็มอันกว้างใหญ่ ทุกสิ่งรอบตัวเงียบงัน มีเพียงสายลมพัดพาฝุ่นทรายเค็มกระจายไปทั่วบริเวณ อารัลกุม—ทะเลทรายที่เกิดจากการสูญหายของทะเลอารัล เป็นอนุสรณ์แห่งความผิดพลาดของมนุษย์ ที่แทรกแซงธรรมชาติด้วยความประมาท
ทะเลอารัล (Aral Sea) เคยเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก Muynak เคยเป็นเมืองท่าคึกคัก ผู้คนออกเรือจับปลา โรงงานปลากระป๋องผลิตสินค้าส่งไปทั่วประเทศ ทุกอย่างเคยรุ่งเรือง จนกระทั่งการชลประทานอย่างไร้การควบคุมเริ่มขึ้น แม่น้ำอามูดาร์ยา (Amu Darya) ซึ่งเคยเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงทะเลแห่งนี้ ถูกเบี่ยงเบนไปเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมปลูกฝ้าย พืชเศรษฐกิจที่ต้องการน้ำปริมาณมหาศาลทำให้แม่น้ำแห้งลงทุกขณะ น้ำในอารัลลดลงอย่างต่อเนื่อง
ปี 1973 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ นอกจากการผันน้ำเพื่อเกษตรกรรม ปัจจัยอื่น ๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การระเหยของน้ำที่เพิ่มขึ้นจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น และการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างขาดความยั่งยืน ล้วนเร่งให้ทะเลอารัลเหือดแห้งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผืนน้ำที่กว้างใหญ่จึงกลายเป็นทะเลทรายเค็มซึ่งไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกเลย
การเดินทางสู่ Muynak: ถนนสายเศรษฐกิจและผู้ร่วมทางของเรา
เยส บอซิน หรือ เยชซอล คนขับรถ มาถึงตามเวลานัดหมาย 8.30 น. แค่เห็นรูปลักษณ์ภายนอก ก็รู้สึกดีใจที่เลือกใช้บริการเขา ด้วยเพราะท่าทางเป็นคนเรียบร้อยและสุภาพ เราเดินทางด้วยรถเก๋งสีขาวที่สะอาดสะอ้าน เขาเป็นชาว Karakalpak ที่แสนภูมิใจ พูดภาษา Karakalpak , Uzbek และรัสเซียได้บ้าง แม้เขาจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่เราก็พยายามสื่อสารกันด้วยแอปแปลภาษา ร่วมกับท่าทาง ภาษามือ ทำให้เราพอจะเข้าใจกันได้ด้วยดีตลอดการเดินทางด้วยกัน

ระหว่างทาง เขาชี้ให้ดูแม่น้ำ Amu Darya ที่ค่อนข้างแห้งเหือด ไม่เหลือเค้าของความเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่เคยหล่อเลี้ยงทะเลอารัล แม่น้ำสายนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง โดยเคยเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายหลักของเอเชียกลางและเป็นหัวใจสำคัญของอารยธรรมโบราณ แม่น้ำ Amu Darya เริ่มต้นจากเทือกเขาปามีร์และไหลลงสู่ทะเลอารัล เคยเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญและแหล่งน้ำหลักสำหรับเกษตรกรรมในภูมิภาคนี้
ในอดีต แม่น้ำ Amu Darya เป็นที่รู้จักในชื่อแม่น้ำ Oxus และมีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม เชื่อมโยงวัฒนธรรมและการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตก แต่หลังจากโครงการชลประทานครั้งใหญ่ในยุคโซเวียตที่ผันน้ำเพื่อการเกษตร โดยเฉพาะเพื่อปลูกฝ้าย ปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลอารัลลดลงอย่างมาก นำไปสู่การหดตัวของทะเลอารัลที่เราเห็นในปัจจุบัน
เขายังชี้ไปที่ป้ายระหว่างทางในหมู่บ้าน Xojeli ซึ่งในตอนแรกฉันไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากที่เขาชี้ป้ายที่สาม ฉันถึงตระหนักได้ว่าเขากำลังบอกว่ากำลังผ่านหมู่บ้านอะไร

เส้นทางหลักที่เราเดินทางไปยังมอยนัค (Muynak) เป็นถนนสายใหญ่ที่บางช่วงเต็มไปด้วยหลุมบ่อและค่อนข้างขรุขระ ถนนเส้นนี้มุ่งหน้าไปยังชายแดนคาซัคสถาน เป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่เคยรุ่งเรือง ใช้ในการขนส่งอาหารทะเลจาก Muynak ไปยังเมืองอื่น ๆ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยการขนส่งสินค้าเกษตร เช่น ฝ้าย และข้าวสาลี ที่ถูกลำเลียงผ่านรถบรรทุกขนาดใหญ่แทนเรือสินค้าในอดีต
หลังจากเดินทางมาได้กว่าชั่วโมง ฉันสังเกตว่าเยชซอลดูง่วงนอน ฉันจึงใช้แอปแปลภาษาเพื่อบอกให้เขาแวะพักดื่มชาและกาแฟก่อนจะเดินทางต่อ เขาอ่านข้อความแล้วพยักหน้าเข้าใจ เราจอดแวะที่ร้านชาข้างทาง ร้านเล็ก ๆ ที่มีรถบรรทุกจอดอยู่หลายคัน ด้านในมีคนขับรถนั่งพักเหนื่อย พลางจิบชาร้อนและสนทนากันเบา ๆ ฉันสั่ง black tea ส่วนเขาส่ายหน้าและบอกว่าไม่หิว อ้าว กลายเป็นว่าฉันเป็นคนขอพักซะเอง แต่ก็ถือเป็นโอกาสดี ปล่อยให้เขาได้ยืดเส้นยืดสายก่อนขับรถต่อ
เราดื่มชาสักพักก่อนเดินทางต่อ อีกไม่นานก็เลี้ยวขวาสู่ถนนเส้นเล็กสองเลน แม้จะกว้าง แต่กลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อและขรุขระอย่างหนัก ทิวทัศน์สองข้างทางค่อย ๆ เปลี่ยนจากดินแดนรกร้างไปสู่เมืองที่เคยรุ่งเรืองแต่บัดนี้เงียบเหงา

การเดินทางจาก Nukus สู่ Muynak นำเราผ่านเส้นทางที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของภูมิภาค ถนนสายนี้เคยเป็นเส้นเลือดสำคัญในการขนส่งอาหารทะเล แต่เมื่อทะเลเหือดหาย อุตสาหกรรมประมงก็พังครืนไปพร้อมกัน ทุกวันนี้ ถนนเส้นนี้กลายเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าเกษตร เช่น ฝ้าย ข้าวสาลี ไปยังคาซัคสถานและประเทศเพื่อนบ้าน รถบรรทุกขนาดใหญ่แล่นไปมาท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง แทนที่ความอุดมสมบูรณ์ในอดีต
ถนนที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา อดีตและปัจจุบันซ้อนทับกันอยู่ในสายลมฝุ่นทรายของดินแดนแห่งนี้
Muynak: เมืองแห่งเรือที่จมอยู่กลางทะเลทราย
เมื่อเข้าใกล้ Muynak บ้านเรือนกระจัดกระจายและดูทรุดโทรมลงตามกาลเวลา หลายร้านค้าและร้านอาหารปิดเงียบ มีเพียงไม่กี่แห่งที่ยังเปิดให้บริการ แม้ว่าจะมีนักเดินทางมาเยือนเพื่อชมสุสานเรืออันโด่งดัง แต่ภาพรวมของเมืองยังคงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดจากการสูญเสียทะเลอารัล ชาวเมืองบางส่วนพยายามปรับตัวสู่ชีวิตแบบใหม่ โดยมีการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ กับนักท่องเที่ยว แต่ส่วนใหญ่น่าจะเลือกละทิ้งพื้นที่และแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าในที่อื่น

สิ่งที่สะท้อนอดีตได้ชัดเจนที่สุดคือ “สุสานเรือ” ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางผืนทรายกว้างใหญ่ เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีเรือประมงขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางน้ำ แต่บัดนี้กลายเป็นซากสนิมกลางทะเลทราย อดีตที่เคยรุ่งโรจน์ บัดนี้เหลือเพียงโครงสร้างเหล็กที่พังทลาย ลมพัดผ่านซอกเรือ เกิดเสียงแว่วคล้ายกระซิบของอดีต
ฉันเดินเข้าไปสัมผัสตัวเรือ ใช้มือแตะผิวเหล็กที่กัดกร่อนด้วยกาลเวลาและสภาพอากาศ ภาพของทะเลที่เคยมีอยู่ตรงนี้ผุดขึ้นในความคิด เหมือนเสียงกระซิบของอดีตที่เตือนเราให้ตระหนักถึงผลกระทบของการใช้ทรัพยากรอย่างไร้ความรับผิดชอบ
Muynak ไม่ใช่เพียงเมืองที่เคยมีทะเลอีกต่อไป หากแต่เป็นอนุสรณ์สถานที่บอกเล่าเรื่องราวของความรุ่งเรืองและความสูญเสียอย่างไม่มีวันลบเลือน อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลอุซเบกิสถานและองค์กรนานาชาติ ได้พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อป้องกันฝุ่นเค็ม การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กเพื่อรักษาความชื้น และการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อทดแทนการทำประมง ต่างเป็นความพยายามในการฟื้นฟูพื้นที่ที่เคยถูกทำลาย แม้ว่าทะเลอารัลอาจไม่มีวันกลับมา แต่ความหวังในการฟื้นคืนระบบนิเวศยังคงมีอยู่






Mizdakan: ดินแดนโบราณที่ถูกลืม
จาก Muynak เรามุ่งหน้าสู่ Mizdakan เมืองเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางสำคัญของอาณาจักร Khorezm ฉันคาดหวังจะได้เห็นซากเมืองโบราณที่แฝงด้วยประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่ปรากฏต่อหน้ากลับเป็นสุสานกว้างใหญ่ หลุมศพกระจายอยู่ทั่วพื้นที่อย่างเป็นระเบียบ หลายหลุมมีลวดลายสลักหินงดงามและโดมขนาดเล็กคลุมไว้ บ่งบอกถึงความสำคัญของผู้ล่วงลับ
Mizdakan ไม่ได้เป็นเพียงสุสานโบราณ แต่ยังเป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีที่มีความสำคัญในภูมิภาคเอเชียกลาง มีร่องรอยของอารยธรรมโบราณที่ผสมผสานอิทธิพลจากเปอร์เซียและชนพื้นเมืองโบราณของแถบนี้ หลุมฝังศพบางแห่งเชื่อกันว่ามีอายุหลายร้อยปี และบางจุดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของศาสนาโบราณโซโรอัสเตอร์

ขณะที่ฉันเดินสำรวจพื้นที่ ฉันพบ หลุมศพที่เชื่อว่ายาวขึ้นทุกปี ตามตำนานท้องถิ่นบอกว่าหากหลุมศพนี้ยังคงขยายยาวต่อไป โลกจะดำรงอยู่ แต่หากมันหยุดยาวขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฉันอดไม่ได้ที่จะจ้องมองมันด้วยความสงสัย ราวกับพยายามสังเกตการเคลื่อนไหวที่มองไม่เห็นของกาลเวลา และสงสัยว่าที่ยาวนั้นก็ต้องเป็นทั้งศพ และโลงศพนี้เลยเหรอ แต่โลงศพนี้ก็ยาวมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ
อีกหนึ่งจุดที่เป็นเรื่องเล่าคือ สุสานที่มีหินซ้อนกันเป็นชั้น ตามเรื่องเล่าบอกว่าหากหินที่ซ้อนกันอยู่หมดลง โลกก็จะถึงจุดจบ นักเดินทางที่มาเยือนมักจะนำก้อนหินเล็ก ๆ มาวางเพิ่มเติม ราวกับเป็นการช่วยพยุงสมดุลของโลก ฉันเองก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงเก็บก้อนหินก้อนเล็ก ๆ และวางลงไปด้วย แถวสุสานนี้ก็เลยมีหินซ้อนกันคล้ายหินที่เรียงซ้อนแถบทิเบตอยู่มากมายหลายกอง ความเชื่อนี้แม้จะดูเป็นเรื่องลี้ลับ แต่ก็สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และการให้ความหมายแก่สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา



สุสานแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวของความตาย หากแต่เป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าไว้ด้วยกัน และปัจจุบันผู้คนในแถบนี้ก็ยังคงนำศพมาฝังในสุสานนี้อยู่ด้วย
เมื่อกลับมาถึง Nukus ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้ฉันทิ้งตัวลงนอน แต่ในความเงียบสงบของค่ำคืนนี้ ความคิดยังคงตีกันอยู่ในหัว
ภาพเรือที่จมอยู่กลางทะเลทราย ภาพหลุมศพโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฝุ่นทราย ภาพของทะเลที่เคยอยู่แต่บัดนี้หายไป ทุกสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการกระทำของมนุษย์
ทะเลอารัลอาจไม่มีวันกลับมา แต่สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้จากอดีต และใช้ทรัพยากรของโลกอย่างมีสติ ก่อนที่หายนะเช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำอีกในที่อื่น







Leave a Reply