วันสุดท้ายที่นูกุส ฉันตื่นขึ้นมาเวลาเดิม หลังจากหลับสนิทตลอดคืนด้วยฤทธิ์ทิฟฟี่สองเม็ด แต่ยังรู้สึกปวดหัวหนึบๆ จากลมแรงและแดดที่แผดเผาเมื่อวาน
อาหารเช้ายังเหมือนเดิม กินมา 3 วัน กำลังพอดีเกือบเริ่มเบื่อแล้ว แต่ก็เข้าใจว่ามื้อเช้าสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเที่ยวคนเดียว ไม่รู้ว่ามื้อต่อไปจะได้กินเมื่อไหร่
วันนี้โรงแรมเปลี่ยนพนักงานต้อนรับเป็นหนุ่มหน้าใหม่ ดูพูดมากกว่าคนก่อนที่เงียบขรึมและเรียบร้อยดี ฉันเคลียร์ค่าห้องโดยจ่ายเป็นเงินซอม ส่วนค่าทัวร์สามารถจ่ายเป็นดอลลาร์ได้—อะไรของเขากันเนี่ย?
“จะกลับมานูกุสอีกไหม?” พนักงานถามด้วยความอยากรู้
ฉันได้แต่ยิ้มแล้วตอบ “เมืองนี้ไกลเหลือเกิน” เป็นคำพูดอ้อมๆ ว่าคงยากจะกลับมา เพราะแม้แต่บริษัททัวร์เองยังไม่กล้าจัดเส้นทางมาที่นี่เลย
ออกเดินทางสู่ Ancient Khorezm
เยซซอลยังคงเป็นคนขับให้ฉันเหมือนเดิม จุดหมายของเราคือเมือง Khiva แต่ก่อนหน้านั้นเราจะแวะเที่ยวป้อมปราการต่างๆ ของอาณาจักรโบราณ Khorezm

จุดแรกคือ Chilpik Qala ป้อมปราการแห่งแรกที่อยู่ใกล้ Nukus ห่างไปประมาณ 40 กม. ระหว่างทาง เยซซอลสอนฉันพูดภาษา Kalpak ไปเรื่อย แต่สุดท้ายจำได้แค่คำว่า “ชาชาดำ” ที่แปลว่า “เหนื่อย” เท่านั้น
เมื่อเห็น Chilpik Qala แต่ไกล ฉันรีบเตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพอย่างพร้อมเพรียง ป้อมแห่งนี้เป็นที่รู้จักในฐานะ “Tower of Silence” หรือหอคอยแห่งความเงียบ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 1-4 เพื่อใช้ในพิธีกรรมของศาสนาโซโรอัสเตอร์ เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ฝังศพแบบเปิดเพื่อให้ร่างกายของผู้เสียชีวิตถูกแร้งและสัตว์อื่นๆ ย่อยสลายตามความเชื่อโบราณ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เข้าไป เพราะพื้นที่กำลังมีการก่อสร้างถนน รถใหญ่แล่นไปมา ฉันเลยตัดสินใจให้ไปยังป้อมถัดไปแทน ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 100 กม.
ระหว่างทาง ฉันหลับๆ ตื่นๆ ไปกับถนนที่กำลังปรับปรุง บางช่วงขรุขระ บางช่วงเรียบดี ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำระหว่างรัฐบาลอุซเบกิสถานหรือ Karakalpakstan
ตะลุยป้อมปราการแห่ง Ancient Khorezm
เยซซอลดูเหมือนจะไม่เคยมาเส้นทางนี้ ต้องโทรถามทางเป็นระยะ ฉันเลยช่วยเปิด Google Maps นำทางให้ จุดแรกที่เราแวะคือ Topraq Qala หนึ่งในโบราณสถานที่ทรงคุณค่าของอาณาจักร Khorezm ป้อมแห่งนี้เคยเป็นพระราชวังอันรุ่งเรือง สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 1-3 และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองและศาสนาในยุคนั้น ภายในเคยประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตร โครงสร้างของป้อมสะท้อนถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมเปอร์เซียและเอเชียกลาง ซึ่งเคยหล่อหลอมอยู่ในดินแดนแถบนี้

อย่างไรก็ตาม อาณาจักร Khorezm ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 6-7 เส้นทางการค้าถูกเปลี่ยนทิศจากผลกระทบของปัจจัยทางภูมิศาสตร์และการเมือง พร้อมกับภัยธรรมชาติที่ค่อยๆ บั่นทอนความรุ่งเรืองของเมือง นอกจากนี้ การรุกรานจากอาณาจักรต่างๆ ทำให้เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจต้องถูกทอดทิ้งไปตามกาลเวลา
ขณะเดินชมซากกำแพงและสิ่งปลูกสร้างที่เหลืออยู่ ฉันพยายามนึกภาพความยิ่งใหญ่ในอดีตของเมืองนี้ ภาพของราชสำนัก นักบวช และพ่อค้าที่เคยสัญจรไปมาในเส้นทางสายไหมลอยเข้ามาในจินตนาการ ทว่า ทุกสิ่งที่เคยยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นเพียงเศษซากแห่งอดีตที่ถูกทิ้งไว้ให้แดดเผาและลมพัดผ่าน คล้ายกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พัดพาอารยธรรมมากมายให้สูญสลายไปตามกาลเวลา

ตามด้วย Kyzyl Qala ที่อยู่ไม่ไกลจากกัน ป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 1-3 และเคยเป็นป้อมปราการสำคัญของอาณาจักร Khorezm โครงสร้างของป้อมสร้างจากอิฐโคลนหนาทึบ สะท้อนถึงเทคนิคการก่อสร้างที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันศัตรู ภายในเคยใช้เป็นที่อยู่อาศัยของทหารและขุนนาง ปัจจุบัน แม้ว่าจะเหลือเพียงซากกำแพงบางส่วน แต่ยังสามารถมองเห็นเค้าโครงของอาคารและแนวป้อมปราการได้อย่างชัดเจน
เรามุ่งหน้าต่อไปยัง Ayaz Qala ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 22 กม. ที่ Ayaz Qala ฉันได้พบกับเจ้าของที่พักในเมือง Khiva ซึ่งเมื่อเขารู้ว่าฉันเป็นคนไทย ก็เดินเข้ามาทักทายเพราะสงสัยว่าฉันอาจจะเป็นลูกค้าที่ติดต่อจะเข้าพักที่โรงแรมใน Khiva ของเขาในคืนนี้ และก็ไม่ผิด คืนนี้เราจะได้พบกันอีกครั้ง

เมื่อเห็นเกอร์ (เต็นท์แบบมองโกล) ที่พักหน้า Ayaz Qala ก็รู้สึกดีใจที่ไม่ได้เลือกพักที่นี่ เพราะเป็นเกอร์ที่ติดถนนเกินไป ไม่ค่อยได้บรรยากาศของการพักในทะเลทรายจริงๆ
Ayaz Qala เป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญของอาณาจักรโบราณ Khorezm ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4-7 และใช้เป็นป้อมปราการป้องกันศัตรูจากทิศเหนือของทะเลทราย Kyzylkum ซึ่งเป็นทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียกลาง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 298,000 ตารางกิโลเมตร ทะเลทรายแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ภูมิภาค เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม ทำให้เกิดเมืองค้าขายและป้อมปราการมากมายตลอดแนวของมัน แม้ว่าจะเป็นพื้นที่แห้งแล้ง แต่ก็มีระบบโอเอซิสที่หล่อเลี้ยงอารยธรรมโบราณ เช่น อาณาจักร Khorezm และ Bukhara
Ayaz Qala ประกอบด้วยป้อมหลัก 3 แห่ง ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงต่ำต่างระดับกัน ป้อมบนสุดมีลักษณะเป็นหอคอยสังเกตการณ์ที่สูงตระหง่าน โดดเด่นเห็นชัดเจนมาแต่ไกล โครงสร้างของป้อมทำจากอิฐโคลน มีหลายชั้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของทหารและจุดสังเกตการณ์ ป้อมแห่งนี้สะท้อนถึงเทคนิคการก่อสร้างอันชาญฉลาดของยุคนั้น ที่ออกแบบให้สามารถทนต่อสภาพอากาศที่รุนแรงของทะเลทรายได้



อย่างไรก็ตาม เมืองและป้อมปราการแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไปเมื่อเส้นทางการค้าเปลี่ยนไป และอาณาจักร Khorezm อ่อนแอลงจากการรุกรานของชนเผ่าอื่น โดยเฉพาะพวกมองโกลในศตวรรษที่ 13 ที่กวาดล้างและทำลายเมืองต่างๆ จนเหลือเพียงซากปรักหักพังให้เห็นในปัจจุบัน
ทางขึ้นป้อมนี้ค่อนข้างท้าทาย ต้องผ่านเนินทรายเล็กๆ แต่เมื่อลงแรงปีนขึ้นไป วิวด้านบนกลับงดงามเกินคาด จากจุดสูงสุดของป้อม ฉันมองออกไปเห็นผืนทะเลทรายกว้างไกลสุดสายตา งดงามจนทำให้ลืมความเหนื่อยล้าไปได้ ความเงียบสงบและสายลมที่พัดผ่านทำให้รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวท่ามกลางประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ของอาณาจักรที่เคยรุ่งเรือง เป็นป้อมที่ให้บรรยากาศทะเลทรายได้ดีที่สุดในทริปนี้
เดินทางเข้าสู่ Khiva
หลังจากเดินทางมาอีกกว่าชั่วโมง เราก็มาถึง Khiva ระหว่างทางผ่านเมือง Urgence ฉันอดไม่ได้ที่จะสังเกตถึงความแตกต่างของสองเมือง ที่นี่ดูเจริญก้าวหน้ากว่ามาก ถนนลาดยางอย่างดี บ้านเรือนสะอาดเป็นระเบียบ ต่างจากนูกุสที่ดูเรียบง่ายและไม่ค่อยพัฒนาเท่าไร ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับสถานะของนูกุสที่เป็นเขตปกครองตนเองของ Karakalpakstan หรือไม่ เมืองที่มีอิสระบริหารตัวเองมากขึ้นเช่น Urgence อาจได้รับงบพัฒนาจากรัฐบาลกลางมากกว่า หรืออาจเป็นเพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจและการค้า ที่ทำให้ Khiva และเมืองใกล้เคียงมีความเจริญมากกว่านูกุสที่ดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลออกไปจากเส้นทางหลักของการพัฒนา
กำแพงเมือง Khiva อันสง่างามปรากฏขึ้นตรงหน้า เสมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งอารยธรรมโบราณที่ยังคงมีลมหายใจ กำแพงแห่งนี้ทอดยาวปกป้องเมืองเก่า Itchan Kala ซึ่งเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของ Khiva และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ผนังดินเหนียวสีน้ำตาลอ่อนสูงตระหง่านนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 และได้รับการเสริมสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ 17-19 กำแพงหนาทึบนี้เคยใช้เป็นปราการป้องกันข้าศึก และปัจจุบันยังคงเป็นภาพแห่งความยิ่งใหญ่ของเมืองโบราณแห่งนี้
เยซซอลขับรถพาฉันลอดผ่าน Tosh Darvoza หรือ “ประตูหิน” ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ประตูหลักของเมือง Khiva เขาได้สอบถามเส้นทางจากเจ้าของที่พักซี่งได้เจอกันที่ Ayaz Qala ล่วงหน้า ทำให้เรามาถึงได้อย่างราบรื่น ฉันลงจากรถและเข้าไปเช็คอิน ในขณะเดียวกัน เวลาของฉันกับเยซซอลก็มาถึงช่วงสุดท้าย เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แม้ว่าอุปสรรคทางภาษาอาจทำให้สื่อสารกันไม่คล่องนัก แต่สองวันที่เดินทางมาด้วยกัน ทำให้เราต่างเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย พอถึงเวลาจากกันก็อดใจหายไม่ได้ แต่ก็เป็นธรรมชาติของการเดินทาง—การพบเจอและจากลาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สำรวจเมือง Khiva
หลังจากจัดของเข้าห้องพักหมายเลข 5 ฉันเปิดอีเมลจากที่พักในเมือง Bukhara ที่สอบถามว่าฉันจะไปถึงกี่โมง ฉันลองคำนวณระยะทางแล้วพบว่าหากเหมารถไปส่งจะต้องใช้เวลาเดินทางถึง 6 ชั่วโมง และบรรยากาศก็คงไม่ต่างจากการเดินทางในวันนี้ ฉันจึงเปลี่ยนแผน หันไปเช็กตั๋วรถไฟแทน และโชคดีที่ยังมีรอบออกตอน 8:30 น. ราคาเพียง 3-400 บาท ฉันรีบจองที่นั่งเตียงชั้นสองทันที นอกจากจะช่วยประหยัดงบเดินทางไปได้มากแล้ว ยังทำให้ได้สัมผัสบรรยากาศของรถไฟอุซเบกิสถานอีกด้วย แม้ว่าจะใช้เวลานานกว่านิดหน่อย ราว 8 ชั่วโมง แต่ก็นับว่าคุ้มค่า
ที่พักของฉันตั้งอยู่ภายในเขตกำแพงเมืองเก่า ทำให้สามารถเดินสำรวจเมืองได้อย่างสะดวก แต่ยังคงงุนงงกับเส้นทางที่ซับซ้อน และที่สำคัญ—หิวมาก
ฉันแวะทาน Shashlik ที่ร้าน Cafe Safuron ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรียนสอนศาสนา Islam Khodja สั่งเนื้อไก่เสียบไม้ย่างหอมกรุ่น เสิร์ฟร้อนๆ คู่กับขนมปังอบใหม่และซอสรสเข้มข้น เป็นมื้อที่เติมพลังและให้รสสัมผัสของอาหารท้องถิ่นได้อย่างดี
หลังจากอิ่มท้อง ฉันเดินเล่นไปทางประตูเมือง เสียงดนตรีพื้นเมืองที่ดังแว่วมาแต่ไกลทำให้ฉันต้องชะลอฝีเท้า คล้ายว่ากำลังมีขบวนแห่เฉลิมฉลอง หนุ่มสาวในชุดพื้นเมืองค่อยๆ ทยอยเข้ามารวมตัวกันก่อนจะเริ่มเต้นรำไปตามจังหวะที่เร่งเร้า เสียงเครื่องดนตรีแนวอาหรับก้องกังวาน สร้างบรรยากาศยามเย็นให้มีชีวิตชีวาอย่างน่าประทับใจ ยืนชมอยู่ครู่หนึ่ง ดื่มด่ำไปกับภาพของเมืองที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิมเอาไว้ได้อย่างงดงาม
ฉันเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ เพราะรู้ว่ายังมีเวลาอีกทั้งวันสำหรับสำรวจ Khiva ในวันพรุ่งนี้ ปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยไอศกรีมเย็นชื่นใจ ก่อนจะเดินกลับที่พักเพื่อพักผ่อน เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ของเมืองโบราณแห่งนี้ในวันถัดไป
หมายเหตุ:
เด็กๆ ในเมืองวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่พอเห็นกล้องกลับร้อง “ไม่ ไม่” ไม่ยอมให้ถ่ายรูป ตอนแรกฉันก็รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ แต่พอนึกดู พวกเขาคงโดนนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันบ่อยจนรำคาญ และในแง่หนึ่ง มันก็คือการละเมิดความเป็นส่วนตัวของพวกเขาจริงๆ








Leave a Reply