การเดินทางครั้งนี้พาฉันมายัง Nukus เมืองที่อยู่ไกลสุดขอบของอุซเบกิสถาน เมืองที่ดูเงียบสงบแต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ของประวัติศาสตร์ ศิลปะ และผู้คนที่เป็นมิตร ถึงแม้ Nukus จะไม่ได้อยู่ในเส้นทางยอดนิยมของนักเดินทางทั่วไป แต่ฉันกลับรู้สึกว่าที่นี่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ต้องมาค้นหา และในที่สุดก็ได้พบว่าการเดินทางครั้งนี้มีค่ากว่าที่คิด

ภูมิประเทศและความสำคัญของ Nukus ใน Karakalpakstan
Nukus เป็นเมืองหลวงของ สาธารณรัฐปกครองตนเอง Karakalpakstan ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอุซเบกิสถาน ภูมิภาคนี้เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำจากแม่น้ำอามูดาร์ยา (Amu Darya) แต่การจัดการน้ำที่ผิดพลาดในช่วงสหภาพโซเวียต และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่
Karakalpakstan เป็น สาธารณรัฐปกครองตนเอง ที่อยู่ภายใต้การบริหารของอุซเบกิสถาน ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีอำนาจปกครองในระดับหนึ่ง รวมถึงภาษาทางการและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตาม นโยบายหลักยังถูกกำหนดโดยรัฐบาลกลาง หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 Karakalpakstan ได้รับสิทธิ์ในการลงประชามติแยกตัวจากอุซเบกิสถานตามรัฐธรรมนูญของประเทศ แต่จนถึงปัจจุบันการแยกตัวนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง
แม้ภูมิประเทศของ Nukus จะดูแห้งแล้งและโหดร้าย แต่เมืองนี้ยังคงมีความสำคัญทั้งในด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของชาว Khorezm นอกจากนี้ การที่ Nukus ถูกเลือกเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Savitsky ยังสะท้อนถึงความพยายามรักษามรดกทางศิลปะของภูมิภาค ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเดินทางที่หลงใหลในศิลปะ และต้องการสัมผัสเรื่องราวและวัฒนธรรมที่เคยรุ่งเรืองในอดีต
ความสะดวกสบายที่ Ratmina
Ratmina เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่สะดวกสบาย อาหารเช้าในห้องอาหารเล็กๆ ที่นี่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองและอบอุ่น เมนูส่วนใหญ่เป็นแป้งทอดที่รสชาติคล้ายขนมเข่ง แต่กรอบอร่อยกว่ามาก เสิร์ฟพร้อมกับพิซซ่าชิ้นเล็กๆ และผักอย่างมะเขือเทศและแตงกวาที่ไม่ว่าไปที่ไหนก็ขาดไม่ได้

ตอนเย็น ฉันได้พบกับพี่ชายของพนักงานโรงแรม และตกลงราคาค่ารถสำหรับสองวัน โดยวันแรกพาไปเมือง Muynak & Mizdagan จากนั้นกลับมาส่งที่โรงแรม ในราคา 70 USD และ วันที่สอง พาไปเที่ยว Ancient Khorezm Fortress 3 แห่ง จากนั้นส่งฉันไปโรงแรมในเมือง Khiva ที่ราคา 100 USD ต่อรองจนเหลือ 2 วันที่ราคา 150 USD ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าสำหรับเส้นทางที่ค่อนข้างไกล
สำรวจพิพิธภัณฑ์ Savitsky
จุดหมายสำคัญของวันคือ พิพิธภัณฑ์ Savitsky ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้ Nukus เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวที่รักศิลปะ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นจากความหลงใหลในศิลปะของ Igor Savitsky นักสะสมและนักอนุรักษ์ชาวรัสเซียผู้มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมและปกป้องงานศิลปะ Avant-Garde ของรัสเซียที่ถูกแบนภายใต้ยุคสตาลิน เมื่อศิลปินหลายคนถูกปิดกั้นและถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของรัฐ งานศิลปะของพวกเขาก็ถูกทำลายหรือซ่อนไว้ แต่ Savitsky มองเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านี้ และใช้ชีวิตของเขาในการรวบรวมและเก็บรักษาผลงานเหล่านี้ไว้ในเมือง Nukus ที่ห่างไกลจากสายตาทางการในกรุงมอสโก
ศิลปะ Avant-Garde เป็นศิลปะที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่และท้าทายขนบเดิมๆ เป็นการแสดงออกที่ก้าวข้ามข้อจำกัดทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหภาพโซเวียตช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่ง Avant-Garde ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของรัฐ เนื่องจากแนวคิดของมันมักเชื่อมโยงกับการปลดแอกทางความคิดและเสรีภาพผ่านทางงานศิลปะ งานเหล่านี้มีความหลากหลาย ตั้งแต่การใช้รูปทรงเรขาคณิต สีสันที่จัดจ้าน ไปจนถึงแนวคิดเหนือจริงและการตีความโลกในมุมที่แตกต่างออกไป





ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่เก็บรวบรวมงานศิลปะ Avant-Garde ของรัสเซียในศตวรรษที่ 20 มากเป็นอันดับสองรองจาก Russian Museum ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ฉันเดินทอดน่องชมภาพวาดที่ถ่ายทอดชีวิตชาวเอเชียกลาง และรู้สึกทึ่งกับความงดงามและความลึกซึ้งของงานศิลปะที่สะท้อนวิถีชีวิตและประวัติศาสตร์ของผู้คนที่นี่ สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานของยุคสมัยที่ศิลปะต้องต่อสู้เพื่ออยู่รอด และเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีคุณค่าอย่างยิ่ง
เดินเที่ยวในตลาด Nukus และมื้ออาหาร
หลังจากเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ฉันเดินเข้าสู่ตลาดกลางของ Nukus ที่นี่เป็นศูนย์รวมของชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้า และคงเป็นศูนย์กลางในการเดินทาง เพราะมีรถจอดอยู่เต็มลานจอดรถขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรถตู้สีขาวคันเล็ก ที่เรียกกันว่า Damas ในตลาดมีสินค้าหลากหลายตั้งแต่อาหารสดไปจนถึงเครื่องเทศและเสื้อผ้าพื้นเมือง กลิ่นของเนื้อย่างและขนมปังอบสดใหม่อบอวลไปทั่วตลาด ฉันเดินดูของและพบว่ามีบางคนหน้าตาคล้ายชาวเกาหลี ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ฉันไม่น้อย

เมื่อค้นคว้าเพิ่มเติม ฉันพบว่าในช่วงสมัยโซเวียต มีการบังคับอพยพชาวเกาหลีจากแถบตะวันออกไกลของรัสเซียมายังเอเชียกลางในช่วงปี 1937 โดยสตาลินกังวลว่าพวกเขาอาจเป็นสายลับให้กับญี่ปุ่น ชาวเกาหลีเหล่านี้จึงถูกส่งมายังอุซเบกิสถานและคาซัคสถาน ซึ่งหลายคนตั้งรกรากและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เรื่อยมา พวกเขาสร้างชุมชนของตนเอง หล่อหลอมเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาภาษา อาหาร และขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของพวกเขาเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ ลูกหลานของพวกเขายังคงเป็นส่วนหนึ่งของสังคมของ Karakalpakstan นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ประวัติศาสตร์ได้ทิ้งร่องรอยไว้อย่างชัดเจน แม้แต่ในเมืองที่ห่างไกลเช่น Nukus


หลังจากเดินตลาด ฉันเลือกไปร้าน NEO ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับการแนะนำจาก GOOGLE ทริปนี้เลยเหมือนมีไกด์ชื่อ GOOGLE คอยชี้ทาง ฉันสั่ง ซีซาร์สลัด และ Beef Stroganov อาหารรสชาติดี แต่จานใหญ่ยักษ์จนกินไม่หมด สิ่งหนึ่งที่แปลกใจคือ ที่นี่เป็นเมืองมุสลิมที่มีเมนูหมูให้เลือก ซึ่งค่อนข้างไม่ปกติในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ฉันพบว่า Karakalpakstan มีความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรมสูง และผู้คนที่นี่บางส่วนไม่ได้เคร่งครัดต่อกฎของศาสนาอิสลามมากนัก ทำให้สามารถพบร้านอาหารที่เสิร์ฟหมูได้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าประหลาดใจและเป็นสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการเดินทางครั้งนี้
ทำความรู้จักกับชาว Karakalpak
ชาว Karakalpak เป็นชนพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มชนเร่ร่อนในเอเชียกลาง และมีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมกับชาวคาซัค ภาษา Karakalpak มีความใกล้เคียงกับภาษาคาซัคและเป็นหนึ่งในภาษาที่ได้รับการสอนในโรงเรียนของอุซเบกิสถาน
ในแง่ของศาสนา ชาว Karakalpak ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี แต่มีแนวคิดทางศาสนาที่ค่อนข้างผ่อนปรนมากกว่ามุสลิมภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้วัฒนธรรมของพวกเขามีความยืดหยุ่นและยังมีความเชื่อที่ผสมผสานแนวปฏิบัติดั้งเดิมของชนเร่ร่อนเข้าไปด้วย
ในอดีตพวกเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร Khorezm ก่อนที่จะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียในศตวรรษที่ 19 ต่อมาภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต Karakalpakstan ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นเขตปกครองตนเอง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอุซเบกิสถานหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
Nukus ที่ดูเงียบสงบแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่วัฒนธรรมของชนพื้นเมืองไปจนถึงร่องรอยของอดีตอันซับซ้อนของเอเชียกลาง








Leave a Reply