เมื่อคืนฉันหาไว้แล้วว่าร้านอาหารเช้าอยากลองคือ ร้าน 126 ร้าน local ที่ดูคึกคักจากรูปรีวิว หน้าตาอาหารคล้ายไทยปนจีน มีข้าวหน้าหมู ปาท่องโก๋ ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว…มั่วๆ ดีแบบน่าลอง ตอนเช้าก็แค่เดินทางเดิมไปทางเดียวกับร้านบะหมี่ David แต่เลยไปอีกหน่อย ผ่านวัด อุณาโลม บรรยากาศเช้านี้ดีผิดคาด ลมเย็นสบายกว่าสองวันก่อนอย่างชัดเจน
ร้าน 126 อยู่หัวมุมตลาด คนเยอะสมชื่อ พนักงานพาไปนั่งโต๊ะรวมกับชายชาวเขมรที่นั่งอยู่ก่อน ซึ่งก็ดูใจดี ช่วยเรียกพนักงานมารับออร์เดอร์ให้เราด้วย ฉันสั่งข้าวหน้าหมูอบน้ำผึ้ง บะหมี่น้ำหมู และแน่นอน…ปาท่องโก๋ ส่วนปันน์เลือกขนมปังกับเนื้อตุ๋น รสชาติก็ใช้ได้ ไม่ว้าว แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมร้านถึงคนเยอะ — เพราะมัน “ง่าย อิ่ม ถูก”
จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่แน่ใจนักว่าอะไรคือ “อาหารเขมรแท้ๆ” เพราะอาหารหลายจานที่ได้ลองยังคล้ายกับอาหารไทยมากจนแทบแยกไม่ออก จะมีก็แต่พวกเมนูแปลกๆ อย่างงูหรือกบ (ซึ่งฉันไม่ได้ลอง แต่เห็น มีวางขาย) ที่ดูจะเข้าข่ายความเป็นเขมรแบบเฉพาะตัวหน่อย เหมือนที่เรามักรู้สึกว่าส้มตำหรือข้าวเหนียวเป็นอาหารของลาวหรืออีสาน อันนี้เป็นการจำแนกแบบใช้อารมณ์ส่วนตัวมากกว่าวิชาการ แต่ก็ช่วยให้พอเข้าใจรสมือท้องถิ่นได้ในแบบของเราเอง
จากร้าน เดินต่อไม่ถึงกิโลก็ถึง วัดพนม (Wat Phnom) — หนึ่งในสถานที่ที่เราวางไว้ว่า “ต้องมา” เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของเมืองพนมเปญเลยทีเดียว
วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินสูงราว 27 เมตร บรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่รอบด้าน เช้านี้ลมเย็นสบาย เดินขึ้นเนินแล้วรู้สึกไม่เหนื่อยอย่างที่คิด
ที่น่าสนใจคือ ตำนานของวัดพนมซึ่งผูกกับชื่อเมืองโดยตรง — “พนม” แปลว่าภูเขา ส่วน “เพ็ญ” ก็คือนางเพ็ญ หญิงชาวบ้านผู้ใจบุญที่พบพระพุทธรูป 4 องค์ และพระนารายณ์อีก 1 องค์ ลอยมาตามแม่น้ำ จึงร่วมกับชาวบ้านถมดินขึ้นเป็นเนิน และสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อบูชา วัดจึงเป็นเหมือนหัวใจดั้งเดิมของพนมเปญ และยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนจนทุกวันนี้
บริเวณรอบวัดมีทั้งเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ รูปปั้นนางเพ็ญที่ฐานเนิน ที่นี่ไม่ใช่วัดใหญ่โตอลังการแบบไทย แต่เต็มไปด้วยความขลังของศรัทธาที่ซ่อนอยู่ในเนินเล็กๆ กลางเมือง
หลังจากไหว้พระ เดินเล่นจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็เรียกรถสามล้อเครื่องผ่านแอป Pass App ตามเคย เพื่อให้ไปส่งที่ เกาะเพชร
…แต่ดันขึ้นผิดคัน! ขณะยืนรอรถ ก็มีคนขับรถมาจอดตรงหน้า ฉันยื่นมือถือให้คนขับรับไปดูแผนที่ ท่าทางเขางงๆ แต่ก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจ เราขึ้นรถ แต่พอขับไปสักพัก ฉันดูแผนที่มือถือไปด้วย เขาขับไปในทิศทางตรงกันข้าม เลยขอให้หยุดรถก่อนจะเตลิดไปไกล ขณะที่พยายามเจรจากันก็ได้พนักงานร้านกาแฟแถวนั้นช่วยพูดให้คนขับพาไปตามที่เราต้องการ โชคดีที่ราคายังใกล้เคียงกับในแอป เราเลยยอมไป และรีบยกเลิกคำสั่งเดิมที่คนขับตัวจริงโทรมาตามพอดี

เกาะเพชร (Koh Pich) เป็นเกาะกลางแม่น้ำที่เชื่อมกับฝั่งเมืองด้วยสะพานใกล้ๆ NagaWorld โรงแรมหรูที่รวมคาสิโนไว้ในตัว พอข้ามสะพาน คนขับก็จอดให้เราลง แม้จะรู้สึกว่าน่าจะขับเข้าไปอีกนิด แต่ก็ไม่ซีเรียส เพราะอากาศดี เดินเล่นได้
บนเกาะมีตึกสูงเรียงรายสไตล์ยุโรป ตึกใหญ่ที่สุดคือ The Elysee ที่จำลองบรรยากาศปารีสมาแบบจัดเต็ม ทั้งเสาโรมัน สีอาคารแบบฝรั่งเศส และถนนกว้างเหมือนเมืองจำลอง แต่…เงียบ! ตึกส่วนใหญ่ยังไม่มีคนอยู่ บางตึกดูเหมือนจะถูกซื้อไว้โดยชาวจีน ส่วนร้านค้าแทบไม่มีเลย นานๆ จะเห็นป้ายบริษัทโผล่มาสักแห่ง
เกาะเพชรนี้เหมือน “ความฝันของการพัฒนา” ที่ยังไม่ตื่น — มีตึก มีถนน มีสะพาน แต่ยังขาด “ชีวิต” แบบที่เมืองควรมี บางคนว่าเป็น Ghost Town ที่รออนาคต ซึ่งก็ไม่แน่ว่าถ้าเศรษฐกิจของกัมพูชาเติบโตขึ้นจริง ที่นี่อาจจะกลายเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญแห่งใหม่
เราเดินตามแนวเกาะจากสะพานถึงสะพาน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ แล้วเรียกรถกลับ ระยะทางจากเกาะเพชรถึงที่พักแค่ประมาณ 3 กิโลฯ เอง พนมเปญนี่ไม่ใหญ่อย่างที่คิดจริงๆ ถ้าอากาศดี แทบทุกที่ก็สามารถเดินถึงได้หมด ยกเว้น Choeung Ek ที่อยู่ไกลออกไปหน่อย
ช่วงเวลาสุดท้ายของทริป เราแวะนั่งร้านกาแฟใกล้ที่พัก ก่อนกลับไปเอากระเป๋าตอนบ่ายสอง แล้วนั่งรถไปสนามบิน กระเป๋าเราหนักเกินไปนิด โชคดีที่สายการบิน AirAsia ไม่ได้เข้มงวดอะไร
จบทริปเที่ยวพนมเปญ 3 วัน 2 คืนของฉันกับหลานชาย ไว้เพียงเท่านี้







Leave a Reply