Nim Journey

A Legend of Travel

Khmer Rouge and Genocide / จาก Choueng Ek ถึง S-21 / แดดร่ม ลมดี ใจยังหนัก
Posted in , ,

เช้านี้ตื่นขึ้นอย่างสดชื่น หลังจากวันแรกที่ทั้งยาวและเหนื่อยล้า แปดโมงกว่า เราเดินออกจากที่พัก ไปหาอาหารเช้าที่ร้าน Enso เมนูที่เลือกคือ Egg Benedict เป็นครั้งแรกที่ได้ลอง และก็ไม่ผิดหวัง ซอสฮอลแลนเดสรสกลมกล่อม หอมมัน ราดทั่วขนมปังกรอบนอกนุ่มในอย่างลงตัว เสริมพลังเช้าให้กับวันหนักๆ ที่กำลังจะเริ่มต้น ตามด้วยกาแฟสองแก้ว — อเมริกาโน่ร้อน กับลาเต้เย็น — ช่วยเติมแรงใจให้พร้อมเดินทาง

เราเรียกสามล้อเครื่องให้ไปส่งที่ Choeung Ek Killing Field อยู่นอกเมืองพนมเปญออกไปประมาณ 13 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ในรถแวะซื้อหน้ากากอนามัยที่ลืมหยิบติดมา แค่ 500 เรียล (ราวๆ 5 บาท) เท่านั้น

ถึงที่นั่นเที่ยงตรง คาดไว้ว่าจะต้องร้อนจนตับแล่บ แต่กลายเป็นว่าลมเย็นพัดเบาๆ ทั่วทุ่ง เป็นบรรยากาศที่ชวนให้ใจสงบลงได้บ้าง แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่เคยเป็นเวทีของความโหดร้ายอย่างสุดขั้ว

เสียงบรรยายในหูฟังภาษาไทย (มีบริการให้) พาเราค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวของ Choeung Ek — หนึ่งในจุดสังหารหมู่หลักของเขมรแดง ที่ซึ่งมีคนกว่า 17,000 ชีวิตถูกพามาจบสิ้นลมหายใจ สภาพที่ดินที่ดูเหมือนทุ่งกว้างเงียบงัน แต่กลับเต็มไปด้วยหลุมศพ ข้อเท็จจริงบางอย่างยิ่งฟังยิ่งหนัก… เด็กทารกที่ถูกฟาดกับต้นไม้, ผู้หญิงตั้งครรภ์, ป้ายเล็กๆ ที่ระบุชื่อ “หลุมศพของผู้ไม่มีหัว” ทั้งหมดทำให้หัวใจแน่นขึ้นทุกก้าว

เราใช้เวลาชั่วโมงครึ่งในการเดินชมอย่างไม่เร่งรีบ แล้วต่อรถไปยัง พิพิธภัณฑ์โตนสเลง (Tuol Sleng หรือ S-21) โรงเรียนมัธยมธรรมดาที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นคุกทรมานกลางกรุงพนมเปญในยุคเขมรแดง ที่นี่ไม่มีเสียงบรรยายภาษาไทย ต้องใช้ภาษาอังกฤษแทน แต่ภาพที่เห็นไม่ต้องการคำอธิบายมากก็เข้าใจได้ด้วยตาและหัวใจ คุกแคบแสนอึดอัด, เตียงทรมาน, ห้องน้ำดิบๆ, ภาพถ่ายของนักโทษนับพันรายที่ส่วนใหญ่มองกล้องด้วยสายตาเศร้า สิ้นหวัง

ภาพของนักโทษหญิงผมสั้น ทำให้นึกถึงตัวเองตอนวัยเรียนในไทย… แต่โชคดีแค่ไหนที่การบังคับให้ตัดผมของเราไม่ได้มาพร้อมความโหดร้ายแบบนั้น ยิ่งรู้ว่าหลายคนในภาพก็อายุพอๆ กับเรา ความรู้สึกยิ่งปะทุ… เหมือนกำลังย้อนมองโลกคู่ขนานที่โหดร้ายเหลือเชื่อ

การมาเยือนสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ ไม่ใช่แค่มา “ดู” แต่มา “เผชิญ” — เผชิญความจริงที่เคยได้ยินแว่วๆ ในข่าวสมัยเด็ก เรื่องเล่าของผู้ใหญ่ การขู่ให้กลัวคอมมิวนิสต์ หรือความเกลียดชังที่ถูกปลูกฝังให้กลัวโซเวียตหรือเวียดนาม ทั้งที่ในความเป็นจริง…ตะวันตกเองก็เคยปิดตาและยอมรับรัฐบาลเขมรแดงบนเวทีโลก แม้จะรู้ว่าพวกเขาเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองก็ตาม

ในท้ายที่สุด…เวียดนามต่างหาก ที่บุกเข้ามาปลดปล่อยชาวกัมพูชา ขับไล่พอลพตและเขมรแดงจนเกิดสงครามยืดเยื้อ มีรัฐบาลกึ่งหุ่นเชิดตามมา และประเทศเสียเวลาไปเกือบทศวรรษในยุค 1980s บุคลากรที่มีความรู้ถูกฆ่าตายหมด เหลือแต่บาดแผลเต็มแผ่นดิน

แต่ภายใต้การนำของ ฮุน เซน กัมพูชาเริ่มฟื้นคืน เริ่มเห็นภาพของการพัฒนา และเราก็ได้สัมผัสด้วยตาตัวเองทันทีเมื่อให้สามล้อพามาต่อยัง อนุสาวรีย์เอกราช (Independence Monument)

ที่นี่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพที่เพิ่งผ่านตาเมื่อเช้า สีสันของเมืองหลวงทันสมัย สวนสาธารณะใจกลางเมืองที่ทอดยาว เต็มไปด้วยผู้คนออกมาพักผ่อน ร้านค้า ร้านอาหาร ตึกสูง อาคารรัฐสมัยใหม่ ขยายตัวล้อมรอบ ความเจริญเติบโตที่สัมผัสได้จริง

เราซื้อไอติมที่รถขายไอติมไผ่ทอง สั่งไอติมกระทิกับขนมปัง ราคาแอบแพง ที่ 50 บาท แล้วไปต่อมื้อเย็นที่ร้าน Salmon House อาหารรสดีเกินคาด พ่อครัวดูมืออาชีพ ไม่ใช่แบบทำส่งๆ แต่…ดันเจอปัญหาว่าไม่มีเงินเรียลหรือดอลลาร์จ่าย ต้องให้พนักงานร้านขี่มอเตอร์ไซค์พาไปร้านแลกเงิน ได้มา 51.5 ดอลลาร์จากยูโร 50 ใบเดียว แถมทิปน้องไป 5 ดอลลาร์เป็นรางวัลความช่วยเหลืออย่างจริงใจ

มื้อเย็นจบแบบอิ่มท้อง อิ่มใจ กลับที่พักด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยฝุ่นและความเพลีย จนต้องรีบอาบน้ำล้างตัวทันที

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.