เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมแดดอุ่นๆ และสายลมของทะเลอีเจี้ยนที่ Heraklion เมืองหลวงของเกาะครีต เราเดินทอดน่องไปตามแนวท่าเรือเก่า ทอดสายตาออกไปยังผืนน้ำสีฟ้าเข้ม และแล้ว…ก็เห็นเงาสิ่งก่อสร้างโบราณอยู่ริมฝั่งทะเล นั่นคือ ป้อม Koules ที่ตั้งตระหง่านอยู่ราวกับผู้เฝ้าเมืองมาตลอดหลายร้อยปี
เราไม่ได้เข้าไปด้านในของป้อม แต่การเดินชมรอบนอกก็เพียงพอจะจุดประกายให้เราย้อนคิดถึงบทบาทของป้อมปราการแห่งนี้ในประวัติศาสตร์ของเกาะครีต จากสัญญลักษณ์บนป้อมที่ทำให้เราพอจะเดาได้ว่าที่นี่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเวนิซมาก่อน

ป้อม Koules (Rocca a Mare) – ป้อมปราการริมคลื่น กับเรื่องเล่าจากยุคเวนิส
ป้อม Koules สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 (ประมาณปี ค.ศ. 1523–1540) โดยชาวเวนิส ซึ่งในเวลานั้นปกครองเกาะครีตภายใต้ชื่อ ราชรัฐเวนิสแห่งคานเดีย (Kingdom of Candia)
ป้อมนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันเมือง Heraklion จากการโจมตีทางทะเล โดยเฉพาะจากพวกโจรสลัดและจักรวรรดิออตโตมันซึ่งเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาในทะเลอีเจี้ยน (Aegean Sea)
ชื่อเดิมของป้อมคือ Rocca a Mare หรือ “ป้อมริมทะเล” ส่วนชื่อ Koules มาจากภาษาตุรกีในภายหลัง เมื่อพวกออตโตมันเข้ายึดครองเกาะในศตวรรษที่ 17
ตัวป้อมสร้างอย่างแข็งแรงบนโขดหินที่ยื่นออกไปในทะเล มีผนังหนาทึบ ช่องสำหรับยิงปืนใหญ่ และชั้นใต้ดินที่เคยใช้เป็นคุก ถึงวันนี้ ป้อมก็ยังคงความสง่างามแบบสงบอยู่ริมฝั่ง เหมือนผู้พิทักษ์ที่ยังไม่ละสายตาจากขอบน้ำ
ฝนเริ่มตกปรอยๆ ระหว่างที่เรากำลังเดินกลับ เพื่อเข้าเมืองมาติดต่อเช่ารถที่ Sun Rise rent a car การขับรถเที่ยวบนเกาะครีตถือว่าสะดวกมาก โดยเฉพาะเมื่ออยากแวะตามจุดต่าง ๆ ตามใจระหว่างทาง โดยฉันรับหน้าที่ขับรถและมีหมูช่วยเป็นเนวิเกเตอร์คอยช่วยดูเส้นทาง สำหรับถนนบนเกาะครีตบริเวณสี่แยกจะเป็นวงเวียนคล้ายที่เคยขับในฝรั่งเศส คนที่นี่ขับรถค่อนข้างเร็ว และดุเดือดพอควร ฉันต้องระวังทั้งซ้ายขวาหน้าหลังจนเกร็งไปหมด จากใจกลางเมือง Heraklion ใช้เวลาราว 30 นาที เราก็มาถึง Knossos ถนนที่มุ่งหน้าไปยังพระราชวังร่มรื่นด้วยต้นมะกอกและทิวทัศน์ชนบท เป็นช่วงเวลาที่เหมือนได้ค่อย ๆ ถอยกลับเข้าสู่ประวัติศาสตร์ พระราชวังคนอสซอส (Knossos Palace) ที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมยุโรป และเป็นหัวใจของเกาะครีต
ทีแรกพวกเราเดินไปต่อคิวซื้อตั๋วจากตู้ แต่พอถึงคิวของเรา ตู้เสียพอดี!!! จึงต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วจากเจ้าหน้าที่ที่ห้องขายตั๋ว เราซื้อตั๋วแบบเข้าชมเฉพาะที่นี่ ราคา 15ยูโร แต่ถ้ารวมเข้าพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในเมืองด้วยจะราคา 20ยูโร
Knossos – เส้นทางแห่งอารยธรรมมิโนอัน จุดเริ่มต้นของยุโรป

ที่นี่ไม่ใช่เพียงซากโบราณสถานธรรมดา แต่คือ ศูนย์กลางของอารยธรรมมิโนอัน (Minoan Civilization) ซึ่งถือเป็น อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราว 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (กว่า 4,000 ปีก่อน!)
🏛️ Knossos: เมืองหลวงแห่งตำนานและสถาปัตยกรรมที่ล้ำยุค
พระราชวังคนอสซอสคือศูนย์กลางการเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจของชาวมิโนอัน มีขนาดใหญ่โตครอบคลุมพื้นที่กว่าหมื่นตารางเมตร มีห้องมากกว่า 1,300 ห้อง — มีทั้งห้องบูชา โกดังเก็บของ ห้องประชุม ห้องพัก และแม้กระทั่ง… ห้องน้ำแบบมีระบบชักโครก!
สิ่งที่น่าทึ่งคือระบบวางผังอาคารและการระบายอากาศที่ชาญฉลาดมากเกินกว่ายุคสมัย เป็นข้อพิสูจน์ว่าอารยธรรมมิโนอันนั้นมีความรู้ด้านวิศวกรรมอย่างลึกซึ้ง

ที่นี่คือสถานที่ที่เชื่อมโยงกับตำนานของ ราชาไมนอส และ เขาวงกตของมิโนทอร์ ปีศาจหัววัวที่อาศัยอยู่ในเขาวงกตลึกใต้พระราชวัง เรื่องเล่านี้เป็นที่มาของคำว่า “ลาบิรินธ์” (Labyrinth) ที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้
ภายในพระราชวังยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง (fresco) สีสันสดใสที่เล่าเรื่องวิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมของชาวมิโนอัน เช่น ภาพของเจ้าชายแห่งดอกลิลลี่ (Prince of the Lilies) และภาพกระโดดข้ามหลังวัว (Bull-Leaping) ซึ่งเป็นกีฬาทางพิธีกรรมที่แสดงความกล้าหาญและความเชื่อมโยงกับเทพเจ้า

ผู้ถือเครื่องบรรณาการ — ภาพจำลองจิตรกรรมมิโนอันที่พบในพระราชวัง แสดงชายหนุ่มในขบวนพิธี ถือเครื่องเซ่นไหว้ถวายเทพเจ้า สะท้อนความเชื่อและศิลปะอันมีเอกลักษณ์ของยุคมิโนอัน สีสันสดใสที่เล่าเรื่องวิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมของชาวมิโนอัน

ภาพของเจ้าชายแห่งดอกลิลลี่ (Prince of the Lilies)
Cr. ภาพโดยส้ม

นอกจากนี้ยังมีห้องที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือ ห้องบัลลังก์ (Throne Room) ซึ่งตกแต่งด้วยภาพวาดกริฟฟิน (Griffins) บนพื้นหลังสีแดงเข้ม สัตว์ในตำนานครึ่งสิงโตครึ่งนกอินทรีที่สื่อถึงพลังและอำนาจ โดยมี บัลลังก์หินโบราณ หรือ”บัลลังก์ของราชาไมนอส” ตั้งอยู่กลางผนัง เชื่อกันว่าอาจเป็นที่นั่งของกษัตริย์ หรือผู้นำพิธีกรรมทางศาสนา โดยเฉพาะเทพีเพศหญิงซึ่งชาวมิโนอันให้ความเคารพสูงสุด
ในช่วงที่อารยธรรมมิโนอันรุ่งเรือง (ประมาณ 2,000–1,400 ปีก่อนคริสต์ศักราช) โลกในเวลานั้นยังอยู่ในยุคทองของอียิปต์โบราณ อารยธรรมสุเมเรียน และบาบิโลนในเมโสโปเตเมีย ชาวมิโนอันมีการติดต่อค้าขายกับโลกภายนอก โดยเฉพาะกับอียิปต์และลิแวนต์ ทำให้ศิลปะและวัฒนธรรมมีความหลากหลายและก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง
อย่างไรก็ตาม Knossos และอารยธรรมมิโนอันต้องเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรงในช่วงประมาณปี 1,450 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีหลักฐานว่าอาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ เช่น การปะทุของภูเขาไฟเธรา (เกาะซานโตรินีในปัจจุบัน) ซึ่งก่อให้เกิดสึนามิที่ส่งผลถึงเกาะครีตโดยตรง
หลังจากนั้นไม่นาน อารยธรรมไมซีเนียน (Mycenaean) จากแผ่นดินใหญ่กรีกก็เข้ามาครอบครอง Knossos และแม้จะยังคงมีบทบาททางสังคมอยู่บ้าง แต่พระราชวังก็ถูกทิ้งร้างไปในที่สุดราว 1,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช ปล่อยให้ตำนานของมิโนทอร์และเขาวงกตหลับใหลอยู่ใต้ดินอีกหลายพันปี จนกระทั่งการขุดค้นของเซอร์อาเธอร์ อีแวนส์ในต้นศตวรรษที่ 20 ได้ปลุกเรื่องเล่าให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
Knossos ไม่ใช่แค่ “แหล่งโบราณคดี” แต่คือพื้นที่ที่ประวัติศาสตร์ยังคงมีลมหายใจ เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานกรีกมากมาย เป็นหลักฐานของมนุษย์ที่คิดและสร้างสรรค์ในระดับที่เกินกว่าสมัยของตน และเป็นเหตุผลที่ว่า… ทำไมโลกจึงยังหลงใหลในอารยธรรมแห่งนี้ไม่เสื่อมคลาย
|
|
|
เรายังมีอีกหนึ่งจุดหมายสำหรับวันนี้คือ ถ้ำ Zeus บนที่ราบ Lasithi ที่ลึกเข้าไปในภูเขา… และลึกเข้าไปอีกในเรื่องเล่าแห่งกำเนิดเทพเจ้า


เราขับรถไต่ขึ้นไปตามถนนคดเคี้ยวบนภูเขาสูง ทะลุผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ต้นไม้เริ่มเตี้ยลง อากาศเริ่มเย็นขึ้นอย่างรู้สึกได้ เมื่อมองลงไปเบื้องล่างเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนของที่ราบ Lasithi ที่เต็มไปด้วยกังหันลมแบบดั้งเดิม และไร่นาสีเขียวสลับกับแปลงดอกไม้ป่า เป็นภาพชนบทที่งดงามอย่างเงียบสงบ
เมื่อจอดรถแล้ว ยังต้องเดินขึ้นเขาซิกแซกไปมาอีกประมาณ 20 นาที เราก็มาถึงถ้ำ ค่าเข้าชมคนละ 6 ยูโร ถ้ำ Dikteon (Dictaean Cave) ว่ากันว่าเป็นสถานที่ที่เทพีเรอาให้กำเนิดเทพเจ้าซุส ผู้นำแห่งเหล่าเทพโอลิมปัส เพื่อซ่อนพระองค์จากโครนอส พ่อของตนที่กลืนกินลูกทุกคนเพื่อรักษาบัลลังก์ของตนเอง
ตามตำนาน เทพีเรอาได้ซ่อนซุสไว้ในถ้ำแห่งนี้ และเหล่า คูเรเตส (Kouretes) นักรบศักดิ์สิทธิ์ ได้ร่ายรำและเคาะโล่เพื่อกลบเสียงร้องของทารก ไม่ให้โครนอสได้ยิน

ภายในถ้ำเย็นชื้นและลึกลงไปเรื่อย ๆ มีหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกตา และแสงไฟสลัวที่ให้บรรยากาศขลังเหมือนเข้าไปในอาณาเขตของเทพเจ้า เดินลงไปยังห้องโถงใหญ่ใต้ดิน เราจะพบความเงียบสงบที่ดูราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง เป็นสถานที่ที่ผสานธรรมชาติ ภูมิศาสตร์ และตำนานไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
ในมุมของวัฒนธรรม ถ้ำ Zeus ไม่ได้มีความสำคัญแค่ในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของกรีกโบราณ แต่ยังสะท้อนถึงการที่ชาวครีตผูกโยงธรรมชาติเข้ากับเทพเจ้า และเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้เป็นศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณและความเชื่อ
ระหว่างทางขากลับจากถ้ำ เราขับรถย้อนลงจากที่ราบลาซิธีด้วยจังหวะที่ช้ากว่าเดิม เหมือนอยากดื่มด่ำกับวิวภูเขาให้นานที่สุด ระหว่างทางเราผ่านกังหันลมเก่าขนาดใหญ่ที่ดูเงียบงัน โครงสร้างไม้บางส่วนพังทลาย แต่เสากังหันยังตั้งตระหง่าน เป็นเสมือนร่องรอยของอดีตที่เคยมีชีวิตชีวา กังหันลมเหล่านี้เคยเป็นหัวใจของระบบชลประทานบนที่ราบลาซิธี ในช่วงศตวรรษที่ 20 มีมากกว่าหมื่นต้นหมุนไล่ลมอยู่ทั่วภูเขา
ถัดมา เราเห็นบ้านหินหลังเล็กที่ถูกทิ้งร้างอยู่ริมเนิน ดูเหมือนเคยเป็นบ้านไร่ของชาวนา หรืออาจเป็นโรงเก็บเครื่องมือในยุคก่อนไฟฟ้าจะเข้าถึง แต่บัดนี้กลับถูกธรรมชาติโอบล้อมด้วยต้นหญ้าสูงและเถาวัลย์ที่ค่อย ๆ กลืนกิน เป็นภาพที่ทั้งเหงาและงดงามในเวลาเดียวกัน
บางที…สิ่งที่น่าจดจำจากการเดินทางไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง แต่อาจเป็นเงาของอดีตที่ยังไม่จางหายระหว่างทางที่เราเผลอเหลียวไปมอง


ตอนเย็นเรากลับมาเดินเที่ยวในเมือง Heraklion บริเวณถนนคนเดินที่คึกคัก ทีแรกตั้งใจจะไปร้าน Petsaki ที่ search จากเน็ต แต่เมื่อเดินไปถึงปรากฎว่าคิวยาวจนล้นออกมานอกร้าน เลยเปลี่ยนไปทานจากร้านที่คนน้อยหน่อย รสชาติอร่อยสไตล์กรีกเช่นเดิม แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าอาหารส่วนใหญ่มีรสชาติเค็ม แต่ยังดีที่ผักสลัดยังสดอร่อยไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นไปซื้อไอศครีมรสกรีกโยเกิร์ตมาลองทาน รสชาติเปรี้ยวๆ ถูกใจกันมาก ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาทานกันอีกรอบทีเดียว











Leave a Reply