เช้านี้อากาศเย็นสบาย เมืองยังไม่พลุกพล่าน เราเลยได้เดินเก็บภาพยามเช้าของ Fira อีกนิด ก่อนจะตัดสินใจหลังจากลังเลอยู่ไม่นานว่าคงไม่ไปนั่งเรือตามโปรแกรมของที่พัก เพราะคลิปวิดีโอที่ดูมาเมื่อคืนชัดเจนเลยว่าไม่น่าจะเหมาะกับเราเท่าไหร่ เลยตัดสินใจออกเดินเทรลต่อไปตามแผนเดิมที่ถูกจริตฉันมากกว่า
11 กิโลเมตรบนเส้นทางภูเขาไฟ กับแดดแรง ๆ และวิวที่สวยจนลืมเหนื่อย
เราเริ่มออกเดินจาก Fira เวลา 9:30 น. เป้าหมายคือเมือง Oia ที่อยู่ห่างออกไปราว 11-12 กิโลเมตร
🥾 เส้นทาง Fira–Oia Trail เป็นทางเดินเก่าแก่ที่ชาวบ้านใช้เชื่อมเมืองสองฝั่งมาก่อนยุคถนนลาดยาง
มันเป็นทางเดินบนสันเขาภูเขาไฟ มองเห็นวิวทะเล Aegean สลับกับหมู่บ้านสีขาวที่วางตัวเหมือนเพชรเรียงบนหน้าผา ตลอดทางจะผ่านทั้งโบสถ์เล็ก ๆ หมู่บ้านเงียบสงบ และบางช่วงจะเป็นทางลูกรังที่ยังคงรักษาสภาพภูมิประเทศแบบเดิมเอาไว้ระยะทางรวมประมาณ 10-12 กิโลเมตร (ขึ้นกับจุดเริ่มต้นและทางอ้อม) ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 3-5 ชั่วโมง เหมาะกับคนที่ไม่รีบร้อน และอยาก “ซึมซับ” มากกว่า “แค่ผ่านไป”
ช่วงแรกของเส้นทางยังคงพอมีเงาอาคารให้พอหลบแดด เดินผ่านเมือง Firostefani และ Imerovigli ไปอย่างเพลิดเพลิน สีขาวของอาคารทำให้ภูมิทัศน์ที่แห้งแล้งดูสวยงามขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
แต่พอพ้นเขตเมืองเท่านั้นแหละ โดนแดดก็สาดใส่เต็ม ๆ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีตึกบัง แค่ภูเขาหินภูเขาไฟแห้งแล้งกับทางเดินฝุ่นลูกรังที่ทอดยาวออกไปสุดสายตา


อันที่จริงพวกเราก็ใช่จะพร้อมเดินเทรคอะไรกันหรอกนะ เสื้อผ้าก็มาแบบจัดเต็มเพื่อถ่ายรูปสวย ๆ ที่ Oia โดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสนุกกับเส้นทาง แม้แดดจะแรง เดินไปสักพักก็เจอช่วงทางราบอยู่บ้าง ก่อนจะเริ่มไต่เนินผ่านช่องเขา อากาศร้อนจัดมาก มีเพื่อนเห็นรถบัสวิ่งผ่าน ก็แอบเสนอว่าถ้าเหนื่อยจะโบกไหม แต่ฉันยืนยันว่าอยากเดินต่อให้ครบ และขอให้เงียบไว้กลัวเพื่อนคนอื่นจะเปลี่ยนใจวิ่งขึ้นรถกันซะก่อน
จุดพักที่ชอบที่สุดคือโบสถ์สีขาวบนเนินเขา มองเห็นเมือง Oia อยู่ลิบ ๆ ด้านล่าง เหมือนภาพในโปสการ์ด เราแวะถ่ายรูปกันอีกรอบ ก่อนจะเดินลงเนินเข้าเขตเมืองอย่างสบาย ๆ


Oia…เมืองปลายทางที่สวยราวกับความฝัน
ที่นี่เงียบสงบกว่า Fira มาก โรงแรมดูมีระดับ มีมุมถ่ายรูปเยอะ แต่พื้นที่ก็ถูกสงวนเป็นเขตส่วนตัวเยอะเหมือนกัน คนที่มาถ่ายรูปก็เข้าใจระบบดี ต่อคิวอย่างมีวินัย และมารยาทดีมาก
เรามาทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน Aminomilos (แปลว่า “โรงสีลม”) วิวดี อาหารอร่อย พนักงานคนหนึ่งจำสำเนียงไทยของพวกเราได้ทันที เพราะเขาเคยไปเที่ยวเมืองไทยมาถึง 15 ครั้ง! แถมยังใจดีเสิร์ฟไวน์หวาน Vin Santo ให้ลองคนละแก้วเล็ก ๆ อีกด้วย
|
|
|
แม้คนจะเริ่มจับจองที่ชมพระอาทิตย์ตกกันแล้ว แต่เราตัดสินใจกลับก่อน กว่าจะหาท่ารถเจอ ทั้งเปิดแอปแผนที่ ถามทางจากคนผ่านทาง ก็ยังงงว่าทำไมท่ารถบัสมันหายากนัก แถมแอบโดนคนขับรถบัสดุ เพราะดันไปสอบถามแทรกขณะที่เขากำลังคุยกันเอง แต่เพราะยืนรอนานแล้ว พวกเขาก็ไม่ยอมสนใจหันมาสนใจเราซักที …แต่สุดท้ายก็หาป้ายขึ้นรถได้ เล่นเอาเหนื่อย กลับถึง Fira ใช้เวลาเพียง 30 นาที—เร็วเกินไปเมื่อเทียบกับ 5 ชั่วโมงที่เราเดินมา
แวะกินร้าน Med Food ก่อนเข้าที่พัก และพออาบน้ำเสร็จ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วหลับไปพร้อมเสียงลมที่ยังพัดแรงอยู่นอกหน้าต่าง…
ซานโตรินี่ไม่ใช่เกาะที่มีหาดทรายขาว น้ำใส หรือแนวต้นไม้ร่มรื่นอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง แต่กลับเป็นเกาะภูเขาไฟที่แห้งแล้ง เต็มไปด้วยหินและฝุ่นทราย ทว่า…ความงามของที่นี่กลับไม่ได้อยู่ที่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่อยู่ที่ “ความร่วมมือ” ของผู้คนที่ช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ของเมืองไว้ได้อย่างน่าทึ่ง

บ้านเรือนสีขาวสะอาดตา เรียงรายลดหลั่นไปตามแนวเขาที่เคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟเก่า กลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้แวะมาเพื่อถ่ายรูป จริง ๆ
🏛️ รู้ไหมว่าทำไมต้องเป็นสีขาว?
บ้านในซานโตรินี่ไม่ได้ถูกทาสีขาวเพื่อความสวยงามอย่างเดียว แต่เพราะ “ความจำเป็น” สีขาวช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป ทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นลงในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัดเกือบทั้งปีในยุค 1930s รัฐบาลเผด็จการในขณะนั้นยังมีนโยบายให้บ้านทั่วประเทศทาสีขาวคู่กับขอบประตูหน้าต่างสีฟ้า เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพของชาติ (และแอบมีนัยทางศาสนาด้วย – สีขาวแทนความบริสุทธิ์ สีฟ้าแทนทะเลและพระเจ้า)
เมื่อเวลาผ่านไป สีขาวจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครอยากเปลี่ยน แม้ในยุคปัจจุบันบ้านหลายหลังจะอนุญาตให้ใช้สีอื่นได้ แต่ผู้คนก็ยังเลือกทาสีขาวไว้เสมอ







Leave a Reply