เช้าวันนี้เราเริ่มต้นกันแต่เช้ามืด ตีห้าต้องลากกระเป๋าออกจากที่พักเพื่อไปขึ้นรถไฟ นี่เป็นข้อดีของการเลือกที่พักใกล้สถานีมาก เพราะแค่เดินลอดอุโมงค์ใต้ดินก็ถึงแล้ว จุดหมายของเราคือชานชาลาที่ 9 ซึ่งเป็นที่ที่เราจะขึ้นรถไฟไปยังท่าเรือปิเรอุส (Piraeus)
เรากับปุ๊กรีบวิ่งไปซื้อตั๋วรถไฟ โชคดีที่ราคารถไฟเท่ากับเมโทร แต่สะดวกกว่าตรงที่ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนกลางทาง รถไฟออกตรงเวลาเป๊ะ อย่างไรก็ตาม เราต้องเปลี่ยนขบวนใกล้ถึงท่าเรือ ซึ่งมีผู้โดยสารใจดีสะกิดบอก และเจ้าหน้าที่ก็มาตามพวกเรา คงเห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ดูยังไม่คุ้นทางแน่ ๆ
เมื่อมาถึงท่าเรือ เราเห็นเรือเฟอร์รี่มากมายจอดเรียงราย แต่ Blue Star Ferry โดดเด่นกว่าลำอื่น หมูจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า โดยเลือกแบบห้องพักสี่คนหนึ่งห้อง และที่นั่งธรรมดาหนึ่งที่ ก่อนขึ้นเรือ เราต้องนำกระเป๋าไปเก็บในห้องเก็บสัมภาระซึ่งไม่มีล็อก จึงแอบกังวลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่มีปัญหาอะไร
เราขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้น Economy Class ที่นี่มีเคาน์เตอร์ต้อนรับให้เราไปแลกกุญแจห้องพัก ห้องของเราอยู่บนชั้น 7 หมายเลข 7007 เป็นห้องขนาดกะทัดรัดแต่สะดวกสบาย มีเตียงนุ่ม ห้องน้ำในตัว และกระจกบานเล็กสำหรับชมวิวทะเลสีฟ้าเข้ม
หลังจากจัดแจงข้าวของเสร็จ เรานั่งรวมตัวกันในห้อง ก่อนจะแยกย้ายไปสำรวจเรือ เราเลือกนั่งจิบกาแฟกับโดนัทก่อน แล้วค่อยเดินชมวิวรอบ ๆ บนเรือมีพื้นที่ให้เดินเล่นได้ตั้งแต่ชั้น 6 ถึง 8 ชั้น Business Class มีทั้งห้องพักแบบ Cabin และที่นั่งแบบ Airside ซึ่งสะดวกสบายกว่า Economy มาก หลายคนเลือกมาจับจองที่นั่งในเลานจ์มากกว่านั่งในห้อง เพราะโปร่งโล่งและสะดวกสบายกว่า
ช่วงนี้เป็น Low Season ทำให้ผู้โดยสารไม่แน่นมาก ชั้น Business ยิ่งโล่งเป็นพิเศษ ส่วนชั้น Economy คนเยอะกว่าหน่อย แต่ก็ยังไม่แออัด บางคนเลือกนั่งในร้านอาหาร บางคนออกไปชมวิวด้านนอก ซึ่งมีทั้งโซนภายในและโซนรับลมทะเลเต็มที่ แสงแดดสะท้อนลงบนผืนน้ำสีฟ้าระยิบระยับ สร้างบรรยากาศของทะเลกรีซได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างล่องเรือผ่านหมู่เกาะต่าง ๆ เราได้เห็นเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย บางเกาะเป็นเพียงผาหินสูงชันที่โผล่พ้นน้ำ ขณะที่บางเกาะมีหมู่บ้านเล็ก ๆ สีขาวตั้งอยู่ริมชายฝั่ง ดูเงียบสงบและน่าหลงใหล
ฉันหยิบ eReader ขึ้นมาอ่านหนังสือ แต่ไม่นานก็เริ่มสัปหงก เลยตัดสินใจกลับไปงีบในห้อง การเดินทางใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง โดยเรือจอดแวะรับผู้โดยสารตามเกาะต่าง ๆ ถึง 3 ครั้ง แต่ละจุดใช้เวลาแวะรวดเร็วจนน่าตกใจ แม้ว่าเรือลำนี้จะใหญ่โตและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วพอสมควร แต่ระยะทางระหว่างเกาะที่ไกลและขนาดของเรือทำให้ต้องใช้เวลาพอสมควร
|
|
ถึงซานโตรินี
เรือถึงท่าซานโตรินีตรงเวลา 15:30 น. เจ้าหน้าที่มาเคาะประตูเรียกให้เรารอออกก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นหน้าผาสีแดงของเกาะ ตัดกับบ้านสีขาวที่กระจายตัวเป็นหย่อม ๆ บนหน้าผาเป็นภาพที่งดงาม ก่อนถึงท่าเรือ เรือล่องผ่านเกาะเล็ก ๆ หลายแห่ง บางเกาะมีโบสถ์สีขาวตั้งตระหง่านอยู่เพียงลำพังบนยอดเขา บ้างมีท่าเรือเล็ก ๆ และบ้านเรือนประปรายให้เห็นชีวิตของชาวเกาะกรีกที่สงบเงียบ
เมื่อเรือจอดเทียบท่า เราลงบันไดเลื่อนไปเอากระเป๋าแล้วมายืนต่อคิวรอออกจากเรือ
ทันทีที่ประตูเปิด ทุกคนต่างกรูกันออกไป บรรยากาศที่ท่าเรือเต็มไปด้วยความคึกคัก มีรถบัสจำนวนมากจอดรอรับผู้โดยสาร รวมถึงกลุ่มคนที่ถือป้ายชื่อรับแขกของโรงแรม เรามองหาไกด์ของเราจนพบชายหนุ่มหน้าตาดี ชูป้ายชื่อของฉัน
เราเดินตามเขาไปขึ้นรถเบนซ์สีดำคันใหญ่ ระหว่างทางจากท่าเรือขึ้นสู่ตัวเมือง ถนนเส้นนี้เป็นถนนลัดเลาะไปตามหน้าผา ทางแคบและมีโค้งสลับไปมาทำให้รถติดพอสมควร ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีฟ้าใสตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม บรรยากาศดูสวยงาม แต่ฉันยังไม่รู้สึกถึงความพิเศษของที่นี่นัก เรามาถึงซานโตรินีเพราะใคร ๆ ก็มากัน นั่นแหละ
สัมผัสแรกในซานโตรินี
อย่างไรก็ตาม ที่พักที่เราจองไว้กลับสร้างความประทับใจไม่น้อย ทำเลดีและวิวสวยมาก พวกเราแยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว ฉันตัดสินใจซื้อซิมการ์ดจาก True แต่ปรากฏว่าใช้ไม่ได้เรื่องเลย นับเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้หงุดหงิดอยู่เหมือนกัน
หลังจากพักผ่อนกันพอสมควร เราออกเดินไปตลาดหรือตัวเมืองฟิรา (Fira) ซึ่งอยู่ไม่ไกล ทานอาหารเย็นที่ร้าน Obelix เมนูที่เราสั่งมี Pork Gyros, Chicken Gyros, พิซซ่า และสลัด ก่อนกลับที่พัก เราซื้อไอศกรีม Baklava มาลองชิม และถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินจากตัวเมือง
ถึงแม้ว่าตัวเมืองซานโตรินีจะยังไม่สร้างความประทับใจแรกพบให้ฉันมากนัก แต่ที่พักของเรากลับเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่า การเดินทางมาที่นี่อาจจะมีอะไรพิเศษกว่าที่คิดก็เป็นได้
Nim Journey 
Leave a Reply