เช้าวันใหม่ใน Mardin เงียบ งาม และชวนให้อยากเดินช้า ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ… บันทึกตอนนี้พาฉันออกนอกเมือง ไปสัมผัสบ้านหินใน Midyat ชายแดนที่ใกล้ซีเรียเกินกว่าที่คาด และช่วงเวลาชายแดนที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งเกินบรรยาย
Mardin: เช้าสบาย ๆ กับบทต่อของเมืองที่เล่าเรื่องเบาๆ
หลังอาหารเช้า ฉันมีเวลารอ Vedat ที่จะพาออกไปเที่ยวนอกเมืองต่อ หลังจากเมื่อวานเขาต้องกลับโรงแรมกะทันหันเพราะติดธุระ จึงถือโอกาสออกมาเดินเล่นรับอากาศยามเช้า ถนนยังเงียบสงบ ผู้คนยังไม่มาก ร้านค้าส่วนใหญ่ยังปิด มีเพียงไม่กี่ร้านที่เริ่มเปิดไฟ เตรียมตัวต้อนรับวันใหม่
ระหว่างเดินถ่ายรูปเล่นอยู่นั้น เสียงเรียกดังขึ้นจากร้านขนมปังเล็ก ๆ เจ้าของร้านยิ้มแล้วโบกมือเชิญ ก่อนจะยื่นขนมปังร้อน ๆ ที่เพิ่งออกจากเตาให้โดยไม่พูดอะไรมาก ฉันรับมาอย่างประหลาดใจ กำลังจะเปิดกระเป๋าหาเงิน แต่เขาส่ายหน้าแล้วยิ้ม พร้อมพูดว่า “no no” แล้วผายมือเชิญให้ลองชิมดู


เราคุยกันสั้น ๆ เขาถามว่าฉันมาจากไหน จะไปเที่ยวที่ไหน ก่อนจะร่ำลากันด้วยรอยยิ้ม และคำขอบคุณภาษาตุรกีที่ฉันยังพูดไม่ถนัด — Teşekkür ederim (เตเช็กคูร์ เอเดริม) แต่เขาก็เข้าใจทันที และยิ้มกว้างยิ่งขึ้นอีก
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันชอบตุรกี คือร้านค้าส่วนใหญ่ยังเป็นของท้องถิ่น ไม่ใช่แบรนด์แฟรนไชส์หรือร้านดังจากเมืองใหญ่ ร้านน้ำชา ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ล้วนมีสไตล์ของตัวเอง และสะท้อนวิถีชีวิตคนในพื้นที่ได้อย่างดี
ช่วงสายจะเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินไปมา แต่เมืองก็ยังไม่วุ่นวาย ถนนยังไม่แน่น มีเพียงเสียงพูดคุยเบา ๆ จากชายวัยกลางคนที่นั่งล้อมวงกันเล่นเกม จิบชา บางครั้งก็หัวเราะกันอย่างออกรส
แม้ผู้คนจะเริ่มมากขึ้น แต่ทุกอย่างยังคงช้า และชัดเจน — เหมือนกับว่าเวลาถูกปรับให้ช้าลงเฉพาะที่นี่

Vedat เริ่มต้นทริปวันนี้ด้วยการพาฉันไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Midyat — เมืองหินเก่าแก่ที่อยู่ห่างจาก Mardin ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราวหนึ่งชั่วโมง
Midyat เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของชาวอัสซีเรียน (Assyrian Christians) มานับพันปี เมืองนี้เคยรุ่งเรืองในช่วงยุคอัสซีเรียนตอนปลายจนถึงยุคไบแซนไทน์ และเป็นหนึ่งในเมืองหลักของชาวซีเรียคออร์โธดอกซ์ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี
Midyat มีชื่อเสียงในเรื่องงานหัตถกรรมโลหะ เครื่องประดับเงินแบบดั้งเดิม (เรียกว่า Telkari) การแกะสลักหิน และบ้านเรือนหินสีอ่อนที่มีลวดลายอ่อนช้อยในแบบสถาปัตยกรรมซีเรียค ซึ่งยังเห็นได้ทั่วไปในย่านเมืองเก่า

สถานที่แรกที่เราแวะเมื่อมาถึง คืออาคารเก่าที่มีป้ายหินสลักว่า “Midyat Çevre Kültür Evi” — หรือแปลว่า “บ้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมแห่ง Midyat” สถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี 2000
บ้านหินหลังนี้ไม่ได้โดดเด่นแค่รูปลักษณ์อันเรียบง่ายและสง่างามแบบซีเรียคเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนประตูบานแรกในการทำความเข้าใจเมืองนี้ ผ่านการจัดแสดงเล็ก ๆ ภายในที่เล่าถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้มานับพันปี
สถาปัตยกรรมของตัวบ้านสร้างจากหินทรายสีอ่อน มีรายละเอียดแกะสลักบนวงกบ ประตู หน้าต่าง และระเบียงที่แสดงให้เห็นถึงความประณีตของงานฝีมือในอดีต โดยเฉพาะลวดลายอ่อนช้อยที่สะท้อนวัฒนธรรมของชาวอัสซีเรียนและชาวซีเรียคออร์โธดอกซ์ ซึ่งเคยเป็นประชากรหลักของ Midyat
แม้ภาพรวมของเมืองจะดูเหมือนถูกปรับแต่งเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวไปบ้าง แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปในตรอกแคบๆ ฉันได้พบกับบ้านถ้ำเก่าๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังคาราวานซารายโบราณ บางห้องถูกปรับปรุงเป็นคาเฟ่น่ารัก บางส่วนยังคงเป็นที่อยู่อาศัย โดยมีร่องรอยของถ้ำดั้งเดิมที่ขุดลึกเข้าไปในหิน



บ้านถ้ำที่พบในย่านเก่าแก่ของเมืองนี้ สะท้อนวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมในสภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้งและร้อนจัดในฤดูร้อน การขุดถ้ำเข้าไปในเนินหินช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในบ้านให้อุ่นในฤดูหนาวและเย็นในฤดูร้อน เป็นภูมิปัญญาที่สอดคล้องกับภูมิอากาศของภูมิภาคนี้มาตั้งแต่โบราณ
ที่น่าสนใจคือ ความเย็นของอากาศที่ไหลผ่านผนังหินหนา ๆ ช่องหน้าต่างหินทรงโค้ง และแสงแดดที่ลอดเข้ามาอย่างนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้รู้สึกเหมือนเดินผ่านประวัติศาสตร์ที่ยังมีลมหายใจอยู่
แม้จะไม่ได้ประทับใจทุกมุมของเมือง แต่ฉันก็ยอมรับว่า Midyat มีเสน่ห์แบบเงียบๆ ที่แทรกตัวอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ ของหินผุ ๆ และลมหายใจของผู้คน


Mor Gabriel Monastery เป็นอีกจุดที่ทำให้ฉันนึกขำตัวเอง มาเที่ยวเมืองมุสลิม แต่สุดท้ายกลับไปใช้เวลาอยู่ในโบสถ์เสียเป็นส่วนใหญ่
โบสถ์แห่งนี้มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ออร์โธดอกซ์ซีเรีย และถือเป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 397 ตั้งอยู่ท่ามกลางเนินเขาอันเงียบสงบของภูมิภาค Tur Abdin ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางสำคัญของชุมชนคริสเตียนตะวันออกในอดีต
โบสถ์นี้เป็นที่พำนักของบาทหลวง และเคยมีบทบาทเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ศาสนา มีโครงสร้างสถาปัตยกรรมหินที่น่าประทับใจ ภายในยังคงใช้ในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน
โถงทางเดินที่ปูด้วยหิน และห้องโถงที่แสงลอดผ่านหน้าต่างทรงโค้ง กลิ่นหินเย็นๆ เสียงสะท้อน ในโถงโบสถ์ และลวดลายจารึกที่ผนัง ล้วนช่วยเล่าเรื่องราวของชุมชนคริสเตียนที่ยังฝังรากอยู่ในผืนดินแห่งนี้
บางครั้ง… ความคาดหวังกับความจริงไม่จำเป็นต้องตรงกันเสมอ แต่นั่นแหละ มันถึงทำให้การเดินทางสนุก และเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่น่าจดจำ จนสุดท้ายเมื่อฉันกลับมาต้องมานั่งอ่านเรื่องราวของศาสนาคริสต์แถบนี้จนได้รับรู้เรื่องราวของศาสนาคริสต์เพิ่มขึ้นกว่าที่เคยคิดอีกมากมาย ถ้ามีโอกาสจะเรียบเรียงไว้ให้อ่านกันนะคะ
วันนี้ Vedat มีเวลาว่างให้ฉันทั้งวัน มื้อกลางวันเขาเลยพาฉันไปยัง White River — สถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวเมือง Mardin โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่อากาศแห้งและร้อนจัด
White River เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกขานกัน แม้จะไม่ได้มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน แต่กลับมีลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลจากภูเขาด้านบนลงมา น้ำเย็นใสไหลผ่านร่องหินตามธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยต้นไม้และเงาร่มไม้เขียวชอุ่มตลอดแนวลำธาร บรรยากาศเงียบสงบ เย็นสบาย
บริเวณรอบลำธารมีร้านอาหารท้องถิ่นตั้งเรียงราย หลายร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายคล้ายสวนอาหาร มีที่นั่งไม้เตี้ย ๆ เรียงรายอยู่รอบสระน้ำหรือร่องลำธาร บางร้านยังมีเบาะให้นั่งเอนตัวหรือเหยียดขานั่งกินข้าวแบบสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้าน

ที่นี่ไม่ได้มีอะไรหวือหวา แต่กลายเป็นพื้นที่ที่ชาวเมืองมาใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง นั่งกินข้าว พูดคุย และพักใจจากความเร่งรีบของชีวิตประจำวัน และสำหรับฉัน มันก็เป็นอีกช่วงเวลาที่ได้หยุดนิ่งและหายใจอย่างเต็มปอด
ดูเหมือนว่า Vedat จะสังเกตเห็นว่าฉันสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับซีเรียเป็นพิเศษ ระหว่างทางฉันเอ่ยถามเขาเรื่อย ๆ เพราะรู้ว่าเมืองนี้อยู่ใกล้ชายแดนซีเรีย ว่ากันว่าหากวันไหนฟ้าโปร่งและยืนอยู่บนที่สูงของเมือง Mardin เราอาจมองเห็นประเทศซีเรียอยู่ลิบ ๆ ที่ขอบฟ้า
ฉันสงสัยว่าสงครามซีเรียส่งผลกับชีวิตผู้คนในชายแดนตุรกีอย่างไร คนตุรกีสามารถเดินทางไปซีเรียได้ไหม เผื่อจะมีทางใดให้ฉันได้ไปเยือนดินแดนที่เคยได้ยินชื่อมาตลอดแต่รู้สึกว่ายากเหลือเกินในการจะหาโอกาสไปสัมผัสจริง ๆ
Vedat บอกว่า ถ้าอยากเห็นจริง ๆ เขาสามารถพาไปดูแนวชายแดนได้ เพราะเส้นทางของเราจะผ่านเมือง Nusaybin อยู่แล้ว ซึ่งเป็นเมืองชายแดนก่อนถึง Mardin
ทันทีที่เลี้ยวรถเข้าสู่เขตเมือง Nusaybin ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่ทันตั้งตัว มันไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้ ‘พรมแดนของเรื่องราว’ ที่เราเคยได้ยินผ่านข่าวหรือหนังสือเท่านั้น เมืองนี้ดูทันสมัย มีตึกอาคาร ถนนกว้าง รถราวิ่งขวักไขว่ ไม่ได้ดูอึมครึมหรือร้างผู้คนอย่างที่จินตนาการไว้
Vedat เล่าให้ฟังว่าก่อนจะเกิดความไม่สงบ ซีเรียและตุรกีมีความสัมพันธ์ด้านการค้าที่แน่นแฟ้น Nusaybin เคยเป็นเมืองพรมแดนที่คึกคัก เต็มไปด้วยผู้คนและกิจกรรมการค้า
เราจอดรถแล้วนั่งจิบชากันตรงบริเวณชายแดน ที่ที่มีทหารยืนประจำการอยู่เป็นระยะ ๆ แนวเขตแดนนี้ไม่มีภูเขาหรือแม่น้ำขวางกั้น แค่ก้าวเดียวก็อาจเป็นอีกประเทศหนึ่งได้แล้ว
บรรยากาศในร้านน้ำชาริมชายแดนตรงนั้นเรียบง่าย โต๊ะไม้เตี้ย ๆ เก้าอี้พลาสติกวางเรียงกันใต้เงาไม้ บางโต๊ะมีชายชรา บางโต๊ะมีครอบครัวมานั่งพูดคุยอย่างเงียบ ๆ ไม่มีความตึงเครียด ไม่มีเสียงดัง มันเหมือนเป็นการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ แม้อยู่ติดชายแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมรภูมิร้อนแรง
เรานั่งจิบชา มองผ่านแนวรั้วไปยังอีกฝั่ง ที่ซึ่งไม่มีอะไรพิเศษมากนัก แต่สำหรับฉัน มันคือหนึ่งในช่วงเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน


ไม่ใช่เพราะมันตื่นเต้นหวือหวา แต่เพราะความเรียบง่ายตรงนั้นแหละ ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนของพรมแดน ก็ยังมีความหวัง อ้อมแขน และถ้วยชาร้อน ๆ เหมือนกัน
เรากลับมายัง Mardin ในช่วงเย็น ฉันเดินเล่นไปตามถนนสายเดิม แวะลัดเลาะเข้าไปในตลาดท้องถิ่นที่ยังคงพลุกพล่าน (Mardin Bazaar) กลิ่นเครื่องเทศ กลุ่มคนที่ต่อรองราคา และร้านขายขนมพื้นเมืองยังคงคึกคักเหมือนเดิม
ฉันแวะชม Grand Mosque (Ulu Cami) อีกครั้ง ก่อนจะเดินขึ้นเนินไปยัง Zinciriye Madrasa — จุดชมวิวที่ฉันตั้งใจกลับมาในเวลาเย็นพอดี บรรยากาศในตอนนั้นช่างน่าประทับใจ ท้องฟ้าแต้มด้วยสีทองจากแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ลมเย็นโชยเบาๆ พัดผ่านระเบียงหินของมัทราซา (Madrasa)

ที่นี่ยิ่งสูง ยิ่งเงียบ ยิ่งมองไกล ก็ยิ่งเหมือนภาพในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ เมโสโปเตเมียที่เคยได้ยินตอนเด็ก ๆ ตอนนี้อยู่ตรงหน้า ในรูปของที่ราบกว้างไกลสุดสายตา แผ่นดินแห้งสีอุ่นทอดยาวไปจรดขอบฟ้า มีบ้านเรือนประปราย มองแทบไม่ออกว่าตรงไหนคือเส้นแบ่งของประเทศ เสียงผู้คนที่เดินผ่านค่อย ๆ เบาลงเมื่อเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ เหมือนเมืองทั้งเมืองกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ค่ำคืนแห่งความสงบ
Zinciriye Madrasa เองก็เป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ในสมัยสุลต่าน Isa Bey แห่งราชวงศ์ Artuqid ตัวอาคารมีลวดลายหินแกะสลักละเอียด ประตูทางเข้าใหญ่โค้งสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมอิสลามยุคกลาง และยังคงเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่งดงามที่สุดใน Mardin
ช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเก็บภาพสุดท้ายของเมืองนี้ไว้ในใจ ไม่ใช่แค่ภาพถ่าย แต่คือความรู้สึกที่ได้สัมผัสพื้นที่แห่งวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และชีวิตร่วมสมัยที่ผสานกันอย่างกลมกลืน


วันถัดมา ฉันขับรถกลับในเส้นทางเดิม ก่อนถึงเมือง Diyarbakir ก็แวะหยุดที่สะพาน Ongözlü Köprü หรือที่รู้จักกันในชื่อ Ten Arches Bridge — สะพานหินโบราณที่ทอดข้ามแม่น้ำไทกริสอย่างสง่างาม
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1065 ในยุคของราชวงศ์ Marwanid ถือเป็นหนึ่งในสะพานยุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดของภูมิภาค และเชื่อกันว่าเป็นสะพานหินแห่งแรกที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำไทกริสในเขตนี้ มีความยาวประมาณ 178 เมตร ประกอบด้วยโค้งหินทั้งหมดสิบช่อง — ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “สิบตา” ในภาษาตุรกี
แม้ท้องฟ้าในวันนั้นจะดูอึมครึม แต่บรรยากาศกลับคึกคักเมื่อมีนักท่องเที่ยวชาวตุรกีกลุ่มหนึ่งกำลังร้องเพลง เต้นรำ และหัวเราะกันอย่างออกรสบนสะพาน เสียงเพลงลอยคลอไปกับเสียงน้ำของแม่น้ำไทกริสเบื้องล่าง เป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาอย่างไม่คาดคิด
หลังจากนั้น ฉันยังพอมีเวลาไปเดินเล่นแถวสะพานโรมันใกล้เมือง Adiyaman ก่อนจะคืนรถเช่า แล้วนั่งรอขึ้นเครื่องบินไปยัง Ankara — พร้อมกับหัวใจที่อบอวลด้วยภาพจำหลากรสจาก Mardin เมืองที่เริ่มต้นจาก “ทางผ่าน” แต่กลับกลายเป็นบทหนึ่งของการเดินทางที่ลึกซึ้งกว่าที่คิด







Leave a Reply