ภาพแรกที่เห็นเมื่อรถแล่นเข้าใกล้ Mardin คือภาพเมืองหินสีทรายที่ไล่ระดับลดหลั่นลงมาตามไหล่เขา เหมือนเมืองเก่าที่ค่อยๆ ถูกแกะสลักจากภูเขาทั้งลูก บ้านแต่ละหลังเรียงซ้อนกันราวกับกล่องไม้เก่าที่ต่อกันด้วยมืออย่างประณีต ยอดโดม มัสยิด และหอคอยสูงเล็กๆ โผล่พ้นหลังคาหิน แทรกตัวในหมู่บ้านอย่างกลมกลืน
บรรยากาศตอนนั้นเหมือนเมืองทั้งเมืองอาบแสงสีทองอุ่นจากแดดบ่าย ทุกอย่างดูนิ่งสงบ แต่เต็มไปด้วยชีวิต ฉันต้องชะลอรถลงเพื่อมองให้เต็มตาก่อนที่จะขับผ่านไปเพื่อหาทางเข้าไปยังในเมืองเก่าตรงหน้า
ฉันมาถึง Mardin ในช่วงบ่าย หลังจากแวะชม Zerzevan Castle ระหว่างทางจาก Diyarbakir พร้อมกับอาเหม็ด หลังทานอาหารกลางวันด้วยกัน เราก็ถึงเวลาบอกลากัน
ความรู้สึกแรกเมื่อได้เดินเข้าสู่ใจกลางเมือง Mardin คือความตื่นตา — บ้านเรือนหินสีทรายที่เรียงรายตามไหล่เขายังคงกลิ่นอายแบบอาหรับผสมเมโสโปเตเมียอย่างเข้มข้น ถนนสายแคบๆ คดโค้งเหมือนเส้นด้ายที่ถักทอเมืองไว้ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี
Mardin เป็นเมืองสำคัญทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่แค่เพราะบ้านหินไล่ระดับที่สวยงาม แต่เพราะเมืองนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ — ชาวอัสซีเรียน อาหรับ อาร์เมเนีย เคิร์ด และชาวมุสลิมสุหนี่ ต่างเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันที่นี่มานานหลายศตวรรษ เมืองนี้จึงมีบรรยากาศแบบที่หาที่อื่นได้ยาก เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่ยังหายใจอยู่กลางภูเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี
มีบันทึกบางส่วนระบุว่า Marco Polo เคยพูดถึงเมือง Mardin ไว้ในระหว่างการเดินทางของเขา แม้เขาอาจไม่ได้แวะพักนานหรือพำนักที่นี่โดยตรง แต่ก็มีการกล่าวถึงเมืองนี้ว่าเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งด้านสิ่งทอและมีชีวิตชีวาทางการค้า ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเมืองนี้อยู่ในเส้นทางการค้าสำคัญของภูมิภาคเมโสโปเตเมียมาแต่ไหนแต่ไร
แต่สำหรับฉันแล้ว เหตุผลที่มาถึงที่นี่ง่ายกว่านั้น เพราะคำว่า “เมโสโปเตเมีย” ที่เคยเห็นอยู่ในหนังสือเรียนตอนเด็กๆ นั่นแหละ ที่ทำให้รู้สึกอยากมาเห็นให้เห็นกับตา Mardin ตั้งอยู่ตรงขอบที่ราบเมโสโปเตเมียจริงๆ เป็นจุดที่ทำให้คำว่า “แหล่งกำเนิดอารยธรรมมนุษย์” ไม่ใช่แค่คำในหนังสืออีกต่อไป แต่เป็นภาพตรงหน้าที่มีทั้งอิฐ หิน ผู้คน และลมหายใจ
ฉันนั่งจิบชาสักครู่ในร้านเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ภายในร้านเต็มไปด้วยคนท้องถิ่น คนเสิร์ฟและลูกค้าทักทายกันราวกับรู้จักกันหมดทุกโต๊ะ ทุกมุมดูนิ่งสงบ ราวกับโลกภายนอกไม่อาจเร่งเร้าได้

แต่เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง กลับเห็นภาพอีกแบบ ถนนเมืองเก่าขนาดพอแค่รถสวนกัน คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินเที่ยวชมเมือง ร้านไอศกรีมทันสมัยตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม และอาคารฝั่งหนึ่งที่ดูเหมือนเคยเป็นคาราวานซาราย ถูกปรับปรุงเป็นโรงแรมสวยหรู
คนที่เดินผ่านไปมา หน้าตาเป็นคนตุรกีทั้งนั้น อาจเพราะช่วงโควิด ทำให้ไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไรนัก ว่าที่จริง… ฉันเองก็ดูจะเป็นคนแปลกหน้าคนเดียวในเมืองนี้
ที่พักที่ Mardin ชื่อ View Mesopotamia
แม้จะไม่สะอาดเนี้ยบเท่าไหร่ แต่ก็เลือกไม่ผิดเลย เพราะวิวจากระเบียงสวยจับใจ เมืองเก่าเรียงตัวอยู่ตามไหล่เขา ไล่ระดับเหมือนฉากในภาพยนตร์ ทอดยาวลงไปถึงขอบที่ราบเมโสโปเตเมียอันกว้างใหญ่
ช่วงเช้าอากาศเย็น เลยได้หยิบเสื้อดาวน์สีเหลืองออกมาใส่เป็นครั้งแรก ป้ายยังไม่ทันแกะดี ก็ต้องรีบออกเดินทางตามแผนของ Vedat เจ้าของที่พักผู้ใจดี เขาพูดเก่ง เป็นกันเอง และเสนอพาเที่ยวรอบนอกเมือง โดยช่วยขับรถพาฉันออกไปเที่ยวนอกเมือง ด้วยบรรยากาศสบายๆ
วันนั้นเราไปกัน 3 แห่ง ที่ล้วนมีเสน่ห์และคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมาก:

Kasimiye Medresesi (ค่าเข้า 4 TL) — โรงเรียนศาสนาอิสลามที่สร้างขึ้นในยุค Artuqid ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นสถานศึกษาทางศาสนาอิสลามและแหล่งบ่มเพาะผู้นำทางวิชาการ อาคารหินทรายสีอุ่นสะท้อนแสงแดดยามสายได้อย่างงดงาม ภายในมีลานกลางแจ้งพร้อมสระน้ำขนาดเล็กที่เชื่อกันว่าใช้เป็นเครื่องมือในการสอนแนวคิดเรื่องจิตวิญญาณและความสงบใจ ห้องเรียนเรียงรายอยู่รอบลานนั้น ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินผ่านศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของยุคโบราณ ความเงียบสงบในสถานที่นี้ชวนให้หยุดนิ่งและซึมซับกลิ่นอายของอดีต ทุกแสงเงาที่สาดลงบนผนังหินเหมือนเป็นนาฬิกาแดดที่นับเวลาของปัญญาและศรัทธา
สถานะของ Kasimiye Medresesi ในยุคนั้นเทียบเท่าสถาบันระดับสูงของภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอนาโตเลีย ปัจจุบันที่นี่ไม่ได้ใช้เป็นโรงเรียนอีกต่อไป แต่ถูกอนุรักษ์ไว้ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม เปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจประวัติศาสตร์ได้เข้าชม และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของความรู้และศรัทธาที่หล่อเลี้ยงเมือง Mardin มาอย่างยาวนาน
Deyrulzafaran Monastery (Mor Hananyo) ค่าเข้าชม 15 TL — วัดคริสต์ออร์โธดอกซ์ซีเรียอันเก่าแก่ ตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นที่ราบเมโสโปเตเมียได้สุดสายตา ชื่อของวัดแปลว่า “วัดหญ้าฝรั่น” เพราะในอดีตเคยมีการใช้หญ้าฝรั่นย้อมผ้าสำหรับพิธีศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่เคยเป็นที่ประทับของผู้นำศาสนาอัสซีเรียนมากว่า 600 ปี ภายในเงียบสงบ เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบโบราณที่งดงามจนต้องหยุดมอง
ศาสนาคริสต์ออร์โธดอกซ์ซีเรีย (Syriac Orthodox Church) เป็นหนึ่งในสาขาเก่าแก่ของศาสนาคริสต์ ก่อตั้งขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 1–2 มีรากฐานทางศาสนาอยู่ในอาณาจักรอัสซีเรีย และใช้ภาษาซีเรียค (Syriac) ซึ่งเป็นภาษายิว-อาราเมอิกในพิธีกรรมทางศาสนา ศาสนานี้ถือเป็นหนึ่งในคริสต์ศาสนาโบราณที่ไม่ได้ขึ้นกับโรมันคาทอลิกหรือโปรแตสแตนท์ และมีแนวทางความเชื่อเฉพาะของตนเอง
แม้วันนี้พื้นที่แถบนี้จะกลายเป็นโลกของศาสนาอิสลามไปแล้ว แต่ในอดีตที่ราบเมโสโปเตเมียและภูเขาโดยรอบเคยเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาตะวันออก (Oriental Orthodox Church) วัด Deyrulzafaran แห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญของความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมของภูมิภาค แม้จะมีจำนวนนิกายนี้เหลืออยู่ไม่มากในตุรกีปัจจุบัน แต่เสียงสวดมนต์ภาษาซีเรียคที่ยังคงดังก้องอยู่ในโบสถ์เก่า ก็ทำให้รู้ว่าศรัทธานี้ยังไม่เคยจางหายไปจากหุบเขาแห่งนี้
แม้ฉันจะรู้จักศาสนาคริสต์แค่เพียงโรมันคาทอลิกหรือโปรแตสแตนท์ แต่การได้มายืนอยู่ในวัดหินกลางแดดร้อนของเมโสโปเตเมียแห่งนี้ ทำให้เริ่มเข้าใจว่า ศาสนาไม่เคยมีพรมแดน มันเพียงเดินทางไปกับผู้คน และเหลือทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยของความเชื่อบนผนังหินเก่าแก่
จากนั้นเราขับรถออกมาไกลสักหน่อย จนมาถึงเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า Dara — เมืองที่ฉันเพิ่งได้ยินชื่อเป็นครั้งแรกในชีวิต มันไม่เคยโผล่ในหนังสือเรียน หรืออยู่ในสารคดีที่ฉันเคยดู แต่เมื่อได้มายืนอยู่ตรงนี้ มันชวนให้คิดว่า ยังมีเรื่องอีกมากที่เราไม่เคยรู้ เพราะไม่มีใครเล่า หรือมันไม่ได้ถูกใส่ไว้ในสื่อที่เราคุ้นเคย

Dara Ancient City ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 โดยจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ เป็นเมืองชายแดนใกล้ซีเรีย มีไว้ใช้ป้องกันการรุกรานจากจักรวรรดิเปอร์เซียในยุคนั้น ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางการทหารสำคัญ อยู่บนเส้นทางการค้าระหว่างเมโสโปเตเมียกับอนาโตเลีย
ชื่อเมือง “Dara” ฟังดูคล้าย “Darius” กษัตริย์เปอร์เซีย แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกัน แต่ก็มีการตั้งข้อสันนิษฐานไว้ เพราะบริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ที่ทั้งไบแซนไทน์และเปอร์เซียแย่งชิงกันมาตลอด หรืออาจหมายถึงชื่อแม่น้ำโบราณ ในยุคนั้นก็เป็นได้
พอรถจอดที่ลานกว้าง ฉันเริ่มเดินไปยังจุดที่น่าโดดเด่นที่สุด — สุสานใต้ดินขนาดใหญ่ (Necropolis) ซึ่งเป็นที่ฝังศพของชนชั้นสูงและทหารระดับสูงในยุคไบแซนไทน์ ภายในขุดลึกลงไปในหิน มีห้องฝังศพหลายระดับ รูปทรงหลากหลาย ทั้งแบบโค้ง แบบช่องเรียง และบางห้องก็มีการตกแต่งด้วยรายละเอียดที่ยังเห็นได้ชัด
จากนั้น Vedat ขับรถพาต่อไปอีกไม่ไกล เพื่อไปชมบริเวณเมืองเก่า มีทั้งซากโรงละคร โบสถ์เก่า และตลาดในอดีต เส้นทางหินที่เดินอยู่ ยังเห็นร่องล้อรถลากชัดเจน มันทำให้จินตนาการได้ไม่ยากว่าเมืองนี้เคยมีชีวิตชีวาแค่ไหนในช่วงเวลานั้น
สุดท้าย ฉันลงไปชมระบบเก็บน้ำใต้ดินและอุโมงค์ส่งน้ำ (Cisterns & Aqueducts) ที่ขุดลึกและซับซ้อนมาก เป็นเทคโนโลยีที่ใช้รองรับการอยู่อาศัยในช่วงที่เมืองอาจถูกล้อม น้ำจากฝนและแหล่งธรรมชาติจะถูกเก็บไว้ใช้ในเมือง ซึ่งถือว่าก้าวหน้ามากเมื่อเทียบกับยุคสมัยเดียวกัน
Dara เป็นเมืองโบราณที่มีชีวิตในแบบของมันเอง ไม่ต้องอลังการมาก แต่เต็มไปด้วยชั้นของเรื่องราวและรายละเอียดที่น่าค้นหา



ที่จริงยังมีโปรแกรมอีก 2–3 แห่งที่ Vedat ตั้งใจจะพาไปชม แต่สุดท้ายเขาได้รับโทรศัพท์ด่วน เลยต้องกลับก่อนเวลา ทำให้ฉันมีช่วงบ่ายว่างๆ ได้ออกเดินเล่นสำรวจเมืองเก่า Mardin ด้วยตัวเอง
ฉันแวะเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ Sabanci ที่เคยเป็นคฤหาสน์ของตระกูลพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ก่อนจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์สะท้อนประวัติศาสตร์เมืองในยุคต่างๆ ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมหินทรายแบบอาหรับ-อนาโตเลีย ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในเมือง Mardin อาคารที่เคยเป็นคาราวานซาราย โรงเรียน หรือบ้านของชนชั้นสูงในอดีต ปัจจุบันบางแห่งถูกแปลงเป็นที่ทำการไปรษณีย์ พิพิธภัณฑ์ หรือร้านค้าสำหรับนักท่องเที่ยว
เมือง Mardin มีความสำคัญมาตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมียตอนปลาย ผ่านยุคอัสซีเรียน เปอร์เซีย อาหรับ มองโกล จนถึงออตโตมัน ทุกยุคสมัยต่างหล่อหลอมให้เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางวัฒนธรรมที่สำคัญของตะวันออกเฉียงใต้ตุรกี
ฉันเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่ซ้อนกันตามไหล่เขา ด้านบนของเมืองมีตลาดคึกคัก เส้นทางหินขรุขระนำลงไปสู่ที่ราบเบื้องล่างที่ยังมีชาวบ้านเลี้ยงสัตว์และใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบดั้งเดิม และเมื่อเงยหน้าขึ้น จะเห็นป้อมปราการโบราณตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูง — เป็นจุดที่ทำให้เห็นภาพรวมของเมืองได้อย่างชัดเจน
ขณะเดินผ่านอาคารหินสีทรายหลังหนึ่ง ฉันเห็นประตูเล็กๆ เขียนว่า “lady” เลยนึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แบบเดียวกับที่เคยเจอในอิหร่าน เลยผลักเข้าไปด้วยความอยากรู้ — แต่ปรากฏว่าไม่ใช่พิพิธภัณฑ์อย่างที่คิด
กลายเป็นว่า ฉันเข้าไปยัง “โรงอาบน้ำตุรกี” หรือ Hammam ที่ยังใช้งานจริง ภายในห้องชั้นในอบอุ่นไปด้วยไอน้ำ ผู้หญิงหลายคนนั่งพูดคุยกัน บางคนนั่งในน้ำ บางคนนอนเท้าแขน ห่มผ้าเช็ดตัวคุยกันสบายๆ ตรงกลางห้องมีเจ้าหน้าที่นั่งเก็บเงิน ฉันรีบขอโทษแล้วถอยออกมาแทบไม่ทัน
ตอนนั้นเองก็พอเข้าใจว่า โรงอาบน้ำไม่ใช่แค่สถานที่ทำความสะอาดร่างกาย แต่เป็นพื้นที่สำหรับการพบปะของผู้หญิง ส่วนผู้ชายในเมืองนี้ มักใช้เวลานั่งเล่นเกม จิบชา กาแฟในร้านน้ำชา — เป็นภาพชีวิตประจำวันที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยสีสันของวิถีแบบตะวันออกกลาง



ฟ้าเริ่มมืด ฉันรีบกลับมายังห้องพัก เพราะหน้าระเบียงของที่พักคือหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง
มินาเร็ตสูงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ที่ราบเบื้องล่างทอดยาวสุดสายตา ผู้คนในชุดอาหรับเดินสวนกันไปมา ให้บรรยากาศแบบอาหรับราตรีที่เต็มไปด้วยสีสันและความเคลื่อนไหว
ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีจากทองเป็นม่วง ไล่ไปสีน้ำเงินเข้ม แสงไฟสีเหลืองจากร้านค้าและบ้านเรือนเริ่มสว่างขึ้นมาแทนที่แสงอาทิตย์ เสียงเพลงและเสียงพูดคุยแว่วมาจากถนนด้านล่าง มันเป็นบรรยากาศที่ชวนให้หลงใหล
เรามีชีวิตที่เงียบงันกันมานานเกือบสองปีในช่วงโควิด เดินทางก็ลำบาก เต็มไปด้วยความระแวดระวัง ผู้คนหายไปจากท้องถนน แต่ตอนนี้มันเหมือนโลกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ มองทุกอย่างอย่างเงียบๆ และรู้สึกสุขใจที่ได้มาอยู่ตรงนี้
แม้เสียงดนตรีจะยังคงดังอยู่ยาวนาน แม้ถึงเวลาที่ควรเข้านอนแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญเลย อาจเป็นเพราะเสียงเหล่านี้มันมีมนต์ขลังแบบอาหรับราตรีที่ค่อยๆ ซึมเข้าสู่หัวใจอย่างไม่รู้ตัว







Leave a Reply