เช้าวุ่น ๆ ที่Adıyaman – จากเหงื่อเม็ดแรกจนถึงเสียงเครื่องยนต์
เช้าวันนี้ ฉันเริ่มต้นด้วยความตั้งใจดี… เดินไปรับรถเช่าที่จองไว้ตั้งแต่เมื่อวาน หวังว่าจะเริ่มต้นวันอย่างราบรื่น แต่ชีวิตของนักเดินทางก็มักจะมีบททดสอบเล็ก ๆ มาให้เสมอ
ชื่อร้านในใบจองกับป้ายหน้าร้านกลับไม่ตรงกัน ที่อยู่ก็คลาดเคลื่อน Google Maps ที่เคยไว้ใจก็เหมือนจะช่วย… แต่พาเดินหลงไปไกล และที่น่ากังวลที่สุดคือ ไม่มีแม้แต่เบอร์ติดต่อสักเบอร์
ฉันยืนงุนงงอยู่ริมถนนใต้แดดแรงของAdıyaman ก้มหน้าจ้องมือถือ สลับกับเงยหน้ามองหาป้ายร้านที่ไม่มีวี่แวว เหงื่อไหลลงมาตามขมับ ความร้อนจากแสงแดดปะปนกับความไม่แน่ใจในใจ ทำให้ทุกอย่างดูชะงักงัน และแอบคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า… หรือทริปนี้จะเริ่มต้นด้วยความผิดพลาดเสียแล้ว
แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงเบา ๆ ดังขึ้นข้างตัว
“Are you okay?”
เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เธอสวมผ้าคลุมผมเรียบร้อย ดูท่าทางจะเป็นนักเรียนที่กำลังรอรถกลับบ้าน น้องเห็นฉันยืนมึนงงกับมือถืออยู่พักใหญ่ จึงเดินเข้ามาทักด้วยความห่วงใย
เธอชื่อ “บุชเก็ต” — น้ำเสียงนุ่มนวลและแววตาใจดีของเธอเหมือนสายลมเย็นที่พัดมาท่ามกลางแดดร้อนของเช้าวันนั้น
หลังจากฉันยื่นใบจองให้ดู น้องขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “Come with me, I think I can help.”
เราสองคนเดินเลี้ยวซอยนู้นซอยนี้ น้องบุชเก็ตเปิดแผนที่ในมือถือของตัวเองช่วยเช็กพิกัดอีกทาง ทั้งเดิน ทั้งคอยชี้ คอยบอก เส้นทางที่ดูซับซ้อนก็ค่อย ๆ คลี่คลายลงทีละน้อย
ในที่สุดเราก็มาถึงร้านเช่ารถตัวจริง ที่ซ่อนตัวอยู่อีกฟากถนนในซอยเล็ก ๆ ไม่มีป้ายชื่อที่ชัดเจน แต่ใช่เลย — มันคือที่นี่แน่นอน
ฉันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วเดินเข้าไปรับรถพร้อมกับน้อง ที่ยังมีน้ำใจนั่งเป็นเพื่อนจนทุกอย่างเรียบร้อย ฉันเอ่ยคำขอบคุณน้องบุชเก็ตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะโบกมือลากันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เป็นอีกครั้งในทริปนี้ที่ฉันได้รับน้ำใจจากคนตุรกี ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาได้ไม่กี่วัน ผู้คนที่นี่เต็มใจและพร้อมช่วยเหลือเสียจนบางครั้ง ฉันไม่กล้าทำท่าทางสงสัยหรืองุนงงให้ใครเห็นเลยด้วยซ้ำ
แต่เรื่องรถของฉันยังไม่จบ…
รถที่ได้รับมานั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของการเดินทาง — รอยขีดบนกันชน รอยถลอกตรงประตู ฝุ่นหนาทึบราวกับเพิ่งผ่านทางลูกรังมา ข้างในพอใช้ได้ ไม่ถึงกับใหม่เอี่ยม แต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่พอขับได้
พนักงานส่งกุญแจให้พลางบอกว่า “ต้องเติมน้ำมันให้เต็มก่อนออกนะครับ”
ฉันยิ้มแห้ง ๆ เหงื่อเม็ดใหม่ผุดขึ้นมาแทนที่ของเดิม สูดลมหายใจลึก แล้วบอกตัวเองว่า “นี่แหละ… การเดินทาง”
จากนั้นการเดินทางของฉันก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ พร้อมความรู้สึกตื่นเต้นเล็ก ๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันขับรถเที่ยวในตุรกี ซึ่งความจริงแล้ว แผนขับรถเช่าแบบนี้เป็นแผนสำรองที่เตรียมไว้เผื่อสถานการณ์จำเป็น แต่สุดท้ายก็ได้ใช้จริง
ที่นี่ขับรถพวงมาลัยซ้าย เหมือนในยุโรป ช่วงแรกฉันยังต้องประคองสติเพราะต้องขับในตัวเมืองAdıyaman ซึ่งถนนค่อนข้างพลุกพล่าน รถราวิ่งกันขวักไขว่ จังหวะไฟแดง ทางเบี่ยง และเสียงแตรประสานกันกลายเป็นเสียงต้อนรับของเมือง
แต่ไม่นาน ฉันก็ค่อย ๆ หลุดพ้นจากความวุ่นวายของเมือง สู่เส้นทางระหว่างเมืองที่กว้างขวางสบายตา ถนนดีมาก เป็นทางสี่เลนลาดยางเรียบสนิท วิวสองข้างทางเปิดโล่ง มีภูเขาเตี้ย ๆ สลับกับพื้นที่ราบโล่งไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าในบ่ายนั้นสดใส และลมพัดเบา ๆ ผ่านหน้าต่างที่ฉันแง้มไว้ ทำให้ความตึงเครียดค่อย ๆ คลายตัวลง
ขับมาได้สักพักจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง เวลาล่วงเลยมาจนบ่าย ก็เลยจอดรถพักและหาอาหารกลางวันทานแถวนั้น ฉันสั่งไก่มาจานหนึ่ง แต่ก็พบว่าเป็นไก่แห้ง ๆ เก่า ๆ ไม่อร่อยเท่าไรนัก ถึงอย่างนั้นก็ยังกินจนหมด ราคาอยู่ที่ 55 ลีราตุรกี
ระหว่างนั้นก็เปิดมือถือหาข้อมูลโรงแรมในDiyarbakır ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งใจจะพักในคืนนี้ และก่อนจะขับรถออกจากร้านอาหารก็เกิดเหตุการณ์เล็ก ๆ ขึ้น มีชายคนหนึ่งวิ่งมาเคาะกระจก ฉันตกใจเล็กน้อย นึกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แท้เขาแค่อยากรู้ว่าฉันมาจากไหน และแปลกใจที่เห็นฉันขับรถมาคนเดียว
ช่วงเย็น ฉันเข้าสู่เขตเมืองDiyarbakır เมืองใหญ่ที่คึกคัก ผู้คน รถรา และความเป็นเมืองหลวงทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกีแผ่ซ่านไปทั่วถนน อีกไม่ไกลก็จะถึงโรงแรม แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น — รถโดนชน
เมื่อจอดรถเพื่อลงมาดูรอยชนกัน ฝ่ายคู่กรณีเห็นรอยบุบและรอยขีดข่วนที่มีอยู่บนรถฉันแต่เดิมแล้วก็เริ่มลังเลที่จะรับผิดชอบ เขาบอกว่ารถฉันมีรอยเยอะอยู่แล้ว และที่เขาชนไปก็แค่นิดเดียวเท่านั้น ฉันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจแยกย้ายกันไป ไม่อยากให้ปัญหาลุกลาม
ฉันขับต่ออีกนิดก็ถึงโรงแรม เช็คอินเก็บของเรียบร้อย จากนั้นออกมาเดินเล่นข้ามถนนไปยัง “กำแพงเมืองเก่า” ที่ตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้าม — หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองDiyarbakır กำแพงเมืองแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวโรมันในราวศตวรรษที่ 4 และต่อเติมซ่อมแซมในยุคไบแซนไทน์และออตโตมัน ทำจากหินบะซอลต์สีดำซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาค มีความยาวรวมกว่า 5.5 กิโลเมตร ล้อมรอบเมืองเก่าทั้งเมืองเอาไว้
จากโรงแรมของฉัน เดินเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงเชิงกำแพง ฉันเดินเลียบแนวกำแพงก่อนจะหาทางขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบน ยามเย็นของDiyarbakırงดงาม แสงอาทิตย์สีทองอาบไล้ผืนฟ้าเหนือ ทอดเงายาวลงบนบ้านเรือนและมัสยิดด้านล่าง เป็นภาพที่เงียบสงบแต่เต็มไปด้วยชีวิต
ค่ำคืนนี้ ฉันพักผ่อนในโรงแรมกลางเมือง พร้อมตั้งใจไว้ว่า พรุ่งนี้เช้าก่อนออกเดินทางต่อ จะกลับมาเดินเที่ยวในเมืองนี้อีกสักรอบ เพราะรู้สึกว่า Diyarbakır ยังมีอะไรน่าสนใจให้ค้นหาอีกมากมาก







Leave a Reply