เช้าวันนี้ยังคงอยู่ที่เมืองอาดิยามัน ไม่มีโปรแกรมอะไรพิเศษนัก อากาศร้อนแรงตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นลดลง ไวซาล เจ้าของบริษัททัวร์ที่นี่ แนะนำให้ไปชมเมืองโบราณของคอมมาเกเน (Kommogene) ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง
เมืองโบราณคอมมาเกเน เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรคอมมาเกเนในสมัยเฮเลนิสติก ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์แอนติโอคัสที่ 1 (Antiochus I Theos) ผู้ซึ่งพยายามรวมวัฒนธรรมเปอร์เซียและกรีกเข้าด้วยกัน เมืองนี้ตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานและแท่นบูชาขนาดมหึมาของพระองค์ การก่อสร้างเมืองและอนุสรณ์สถานเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามในการเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับเหล่าทวยเทพ และสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับอาณาจักรของพระองค์
เมื่อเดินทางไปถึง บรรยากาศเงียบสงบจนผิดสังเกต อาจเป็นเพราะไปเร็วเกินไป หรืออาจจะเป็นผลกระทบจากโควิดก็ไม่แน่ใจ ไม่มีเจ้าหน้าที่ขายบัตรเข้าชม มีเพียงยามที่นั่งอยู่ตรงป้อมรักษาความปลอดภัย เขาชี้มือให้เข้าไปชมได้เลย และบอกว่าถ้ากลับออกมาแล้วมีเจ้าหน้าที่เปิดขายบัตรก็ค่อยจ่าย แต่เมื่อเดินชมจนทั่ว ออกมาจากโบราณสถาน ก็ยังไม่พบใครเลย สรุปว่าวันนี้ได้เข้าชมฟรี ประหยัดเงินไปอีกหน่อยแบบไม่คาดคิด
การเดินทางไปที่นั่นใช้เวลาราว 40 นาที ภายใต้แสงแดดที่แผดเผา แต่เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณที่มีร่มเงา อากาศกลับเย็นสบายขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ที่นี่เงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดผ่าน และเสียงฝีเท้าของนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่มาเยี่ยมชม หลายจุดยังคงเหลือร่องรอยของอารยธรรมโบราณ เช่น ซากวิหาร ศิลาจารึก และแท่นบูชาที่เคยใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ
ระหว่างเดินสำรวจ ฉันพยายามจินตนาการถึงชีวิตของผู้คนในยุคนั้น พวกเขาเคยเดินบนถนนเส้นเดียวกับเราหรือเปล่า? เคยยืนกลางแดดจ้าเหมือนที่ฉันกำลังทำอยู่ไหม? บรรยากาศของที่นี่ทำให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับอดีตได้อย่างน่าประหลาดใจ
หลังจากเดินสำรวจเมืองโบราณเสร็จ ก็กลับมาที่โรงแรมเพื่อวางแผนการเดินทางต่อไป ฉันตัดสินใจเดินทางลงใต้ มุ่งหน้าไปยังเมืองมาร์ดิน (Mardin) เมืองที่ไกด์เมื่อวานแนะนำมา และสิ่งที่ทำให้ฉันสนใจที่นี่ก็เพียงเพราะคำว่า “เมโสโปเตเมีย” คำเดียวเท่านั้น
เมโสโปเตเมีย… ดินแดนที่เคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กจากตำราเรียน พื้นที่ระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรตีส ที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมแรก ๆ ของโลก และแม่น้ำทั้งสองก็มีต้นกำเนิดอยู่ในตุรกีแห่งนี้ การได้มีโอกาสไปเยือนพื้นที่ส่วนบนของเมโสโปเตเมีย มันเหมือนความฝันที่กำลังจะกลายเป็นจริง เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางตามรอยอารยธรรมโบราณของโลกที่เราหวังจะไปเยือนให้ครบทุกแห่ง
แผนการเดินทางเกิดขึ้นกะทันหัน วิธีที่สะดวกที่สุดคือเช่ารถขับเอง จะได้ไม่เสียเวลา สมัยนี้มี Google Maps ก็นำทางได้ง่ายขึ้น ฉันเองก็เตรียมใบขับขี่สากลมาเผื่อไว้แล้ว เหลือแค่หารถเท่านั้น พอเปิดอินเทอร์เน็ตเสิร์ชหาบริษัทเช่ารถในเมือง ปรากฏว่ามีตัวเลือกไม่มาก และมีรถเกียร์ออโต้เพียงคันเดียวในเมือง แน่นอนว่าไม่รอช้า กดจองทันที
สุดท้ายตัดสินใจเช่ารถขับเองเป็นเวลา 5 วัน ค่าบริการรวมแล้วราว 8,000 บาท แม้จะตั้งใจประหยัดงบประมาณ แต่ก็ไม่ได้ต้องการให้การเดินทางลำบากเกินไป
ปลายทางคือมาร์ดิน เมืองที่ตั้งอยู่บนแนวภูเขา มองลงไปเห็นที่ราบเมโสโปเตเมียกว้างไกลสุดสายตา เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลอมรวมกันระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก การเดินทางครั้งนี้กำลังจะพาเราไปสัมผัสอดีตที่มีชีวิต และฉันก็ตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้ออกเดินทางไปยังเมืองแห่งนี้
เมืองโบราณคอมมาเกเน (Kommogene) : อาณาจักรลึกลับแห่งเมโสโปเตเมีย
1. รู้จักคอมมาเกเน (Kommogene)
คอมมาเกเน (Kommogene) เป็นอาณาจักรโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณตอนใต้ของอนาโตเลีย (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี) โดยมีศูนย์กลางอยู่ระหว่างแม่น้ำยูเฟรตีสและเทือกเขาทอรัส (Taurus Mountains) อาณาจักรนี้รุ่งเรืองระหว่าง ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช – ศตวรรษที่ 1 คริสต์ศักราช โดยเป็นรัฐกันชนระหว่างจักรวรรดิพาร์เธียนและโรมัน อาณาจักรนี้มีชื่อเสียงด้านศิลปะ วัฒนธรรม และโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ เช่น สุสานบนภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก
2. ต้นกำเนิดของอาณาจักรคอมมาเกเน
อาณาจักรคอมมาเกเนก่อตั้งขึ้นในช่วงประมาณ 163 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลังจากจักรวรรดิเซลูซิดเริ่มเสื่อมอำนาจ โดยมี ปโตเลมีแห่งคอมมาเกเน (Ptolemaeus of Kommogene) เป็นกษัตริย์องค์แรก คอมมาเกเนได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทั้งกรีก เปอร์เซีย และเมโสโปเตเมีย ทำให้มีลักษณะเฉพาะทางศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมผสานกัน
3. ยุคทองของอาณาจักร
อาณาจักรคอมมาเกเนถึงจุดสูงสุดของอำนาจในรัชสมัยของ กษัตริย์แอนติโอคัสที่ 1 เทโอส์ (Antiochus I Theos, 69-34 ปีก่อนคริสต์ศักราช) พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ทรงเลื่อมใสในศาสนาและสนับสนุนการสร้างศาสนสถานมากมาย พระองค์ยังได้สร้างสุสานขนาดใหญ่บน ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) ซึ่งกลายเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของอาณาจักร
สุสานแห่งนี้มีลักษณะพิเศษคือเป็น เนินดินขนาดใหญ่สูงกว่า 50 เมตร และมีรูปปั้นหินขนาดยักษ์ของเทพเจ้ากรีกและเปอร์เซีย เช่น ซุส (Zeus) , อพอลโล (Apollo) , เฮราคลีส (Heracles) และยังมีรูปปั้นของกษัตริย์แอนติโอคัสที่ 1 เทโอส์ เอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานวัฒนธรรมของอาณาจักรนี้
4. การล่มสลายของคอมมาเกเน
หลังจากรัชสมัยของกษัตริย์แอนติโอคัสที่ 1 อาณาจักรคอมมาเกเนเริ่มอ่อนแอลงเนื่องจากความขัดแย้งภายในและแรงกดดันจากจักรวรรดิโรมัน ในปี 17 คริสต์ศักราช อาณาจักรถูกโรมันผนวกเข้ากับจักรวรรดิเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นซีเรีย ต่อมาในปี 72 คริสต์ศักราช จักรพรรดิเวสปาเซียน (Vespasian) แห่งโรมันได้ยุบอาณาจักรคอมมาเกเนอย่างถาวร
5. มรดกทางวัฒนธรรม
ถึงแม้อาณาจักรคอมมาเกเนจะล่มสลายไป แต่ร่องรอยของอารยธรรมยังคงอยู่ โดยเฉพาะสุสานบนภูเขาเนมรุตซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณ นอกจากนี้ยังมีเมืองโบราณเช่น ซามอสซาตา (Samosata) เมืองหลวงของคอมมาเกเนที่ปัจจุบันอยู่ใต้เขื่อนอาตาเติร์กในตุรกี
6. การค้นพบและการศึกษาทางโบราณคดี
นักโบราณคดีเริ่มขุดค้นซากอารยธรรมของคอมมาเกเนตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยนักสำรวจชาวเยอรมัน Karl Sester เป็นคนแรกที่ค้นพบซากโบราณสถานบนภูเขาเนมรุตในปี 1881 หลังจากนั้นการขุดค้นได้ดำเนินมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยมีการบูรณะและศึกษาวัฒนธรรมของอาณาจักรนี้อย่างลึกซึ้ง







Leave a Reply