นอกจากเอ็ดมุน ฮิลลารี่ (Edmund Hillary) ผู้พิชิตยอดเอเวอร์เรสต์เป็นคนแรกในปี 1953 นักเดินเขาและปีนเขาที่ชื่นชอบภูเขาสูงแถบหิมาลัย มักจะได้ยินอีกชื่อบ่อยๆ คือ จอร์จ มัลลอรี่ นิตยสาร หรือหนังสือหลายเล่มมักจะกล่าวถึงเขาเสมอ บ่อยครั้งที่อ่านเจอหรือได้ยินก็ทำให้ฉันรู้สึกสงสัยเหลือเกินว่าเขาเป็นใคร มีความสำคัญมากขนาดไหนกัน เลยไปหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

เขาเป็นเจ้าของคำกล่าว “Because it’s there” ที่มีชื่อเสียง และยังเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นคนแรกที่พิชิตยอดเอเวอร์เรสต์ก่อน เอ็ดมุนด์ ฮิลลารี่ถึง 29 ปี ซึ่งเรื่องราวยังคงเป็นปริศนาจนทุกวันนี้เพราะการขึ้นสู่ยอดในครั้งนั้นจบลงที่การหายสาบสูญของมัลลอรี่และคู่หูเออร์ไวน์ โดย โอเดล (Odell) นักเดินเขาที่ซัพพอร์ทอยู่ด้านล่างบนความสูงประมาณ 8000 เมตรบันทึกว่าเห็นทั้งสองครั้งสุดท้ายเมื่อมองขึ้นไปว่า “เขาเห็น มัลลอรี่และ เออร์ไวน์บนสันเขา ใกล้ๆกับฐานของยอดสูงสุดห่างจากยอดเขาประมาณ 250 เมตร”
จอร์จ มัลลอรี่อุทิศตัวให้กับภูเขาเอเวอร์เรสต์ เขาเป็นนักปีนเขาชาวอังกฤษที่เข้าร่วมการสำรวจภูเขาเอเวอร์เรสต์ถึงสามครั้งกับทีมสำรวจของอังกฤษ และยังเป็นผู้ตั้งชื่อยอดในเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ถึง 3 ชื่อคือ Changtse, Lhotse และ Nuptse ซึ่งเป็นภาษาทิเบตในความหมายของ North Peak, South Peak และ West Peak ตามลำดับ
จอร์จ มัลลอรี่ มีอาชีพเป็นครู พร้อมๆกับชื่นชอบการปีนเขา ซึ่งเขาฝึกซ้อมการปีนเขาอยู่เป็นประจำทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่ออังกฤษมีโครงการสำรวจภูเขาเอเวอร์เรสต์ เขาเป็นตัวเลือกแรกๆที่ได้รับการเลือกเข้าร่วมทีมด้วยทักษะการปีนเขา ความชำนาญที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักปีนเขา

การสำรวจภูเขาเอเวอร์เรสต์
การสำรวจทั้ง 3 ครั้งเป็นการสำรวจภูเขาเอเวอร์เรสต์ฝั่งทิเบต เนื่องจากก่อนปี 1949 ทางการเนปาลไม่อนุญาติให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ

1921 เป็นการสำรวจความเป็นไปได้ และทำความรู้จักกับเส้นทางว่าสามารถขึ้นไปยังยอดสูงสุด และเป็นครั้งแรกที่ทีมสำรวจได้พบกับเส้นทางไปยัง Rongbuk Glacier โดยมี Charles Howard-Bury เป็นหัวหน้าทีม ส่วนจอร์จ มัลลอรี่เป็นผู้ร่วมทีม เนื่องจากเป็นครั้งแรกของเขาในแถบเทือกเขาหิมาลัย แต่เขาก็ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการพบเส้นทางไปจนถึง North Col (7020 ม.)

1922 เขาเข้าร่วมทีมสำรวจของอังกฤษเป็นครั้งที่ 2 ครั้งนี้รับหน้าที่เป็นผู้นำทีม โดยครั้งนี้มีเป้าหมายจะไปให้ถึงยอดสูงสุด ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งแรกของโลก เขาและทีมไม่สามารถบรรลุเป้าหมายเนื่องจากเกิดหิมะถล่มจนทำให้ลูกหาบเสียชีวิตไปถึง 7 คน
- ความพยายามครั้งแรก (First Summit Push) เป็นการขึ้นสู่ยอดโดยไม่ได้ใช้ออกซิเจน จอร์จ มัลลอรี่ และทีม ประกอบด้วยซอมเมอร์วิล นอร์ตัน และมอร์สเฮด (Mallory, Somervell, Norton and Morshead) สามารถไปได้ไกลถึงความสูง 8,225 เมตร
- ความพยายามครั้งที่สอง (Second Summit Push) สถิติ 8,225 เมตรของจอร์จ มัลลอรี่ถูกทำลายด้วยการนำทีมของ จอร์จ ฟินซ์ (George Finch) และ เจฟฟรี่ บรูซ (Geoffrey Bruce) ที่ขึ้นสู่ยอดโดยการใช้ออกซิเจนสำรองในอีกไม่กี่วันต่อมา แต่ก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายบนยอดสูงสุด ไปได้เพียงความสูง 8,320 เมตรเท่านั้น ซึ่งความสำเร็จของการใช้ออกซิเจนนี้ทำให้ จอร์จ มัลลอรี่ ตัดสินใจขึ้นสู่ยอดเอเวอร์เรสต์ในครั้งต่อไปด้วยการใช้ถังออกซิเจนด้วย
- ความพยายามครั้งที่สาม (Third Summit Push) จอร์จ มัลลอรี่ และทีมยังคงพยายามอีกครั้งเพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่โชคชะตายังคงไม่เข้าข้าง เมื่อเกิดหิมะถล่ม (Avalanche) จนทำให้ลูกหาบเสียชีวิตถึง 7 คน
หลังการสำรวจ พยายามขึ้นสู่ยอดที่สูงที่สุดของโลก มัลลอรี่และฟินซ์ ต้องออกตระเวณเพื่อหาทุนสำหรับการปีนเขาอีกครั้ง ซึ่งระหว่างนี้เองที่เขาได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สนับสนุนและนักข่าวที่สงสัยในความพยายามของพวกเขาว่าทำไมเขาต้องการปีนยอดเอเวอร์เรสต์

“Because it’s there” เป็นคำตอบของจอร์จ มัลลอรี่ และกลายเป็นคำพูดคลาสสิคตลอดกาลของผู้ที่มีความฝัน อันยากที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจ การหาทุนและการรวบรวมทีมต้องใช้เวลา จนทำให้แผนการพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์ในปีต่อมาตั้งเลื่อนออกไป แต่ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาเอเวอร์เรสต์อีกครั้งในปี 1924
1924 ภายใต้การดูแลของเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Lt-Col.Edward Norton) และมีจอร์จ มัลลอรี่ เป็นหัวหน้าทีมปีนเขาได้นำทีมสำรวจกลับมาที่ภูเขาเอเวอร์เรสต์อีกครั้งเพื่อเป้าหมายสู่ยอดซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาพยายามจะไปให้ถึงจุดสูงสุดของโลกให้ได้ โดยการขึ้นยอดครั้งนี้นำอุปกรณ์ออกซิเจนมาเป็นตัวช่วยในการพยายามขึ้นสู่ยอดเขาด้วย
- วันที่ 2 มิถุนายน มัลลอรี่จับคู่กับบรูซ แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากลมแรงและอากาศเย็นจัด ทำให้ทีมเหนื่อยล้า และลูกหาบปฏิเสธที่จะไปต่อ ขอจึงต้องกลับมาที่ North Col camp
- วันที่ 4 มิถุนายน ทีมของนอร์ตัน และ ซอมเมอร์วิลล์ ทำลายสถิติเดิมซึ่งเคยทำไว้ ซอมเมอร์วิลล์ขึ้นไปได้ถึงความสูง 8,543 เมตรก่อนจะยอมแพ้แล้วให้ นอร์ตันไปต่อจนถึงความสูง 8,573 เมตร แต่ก็ต้องกลับลงมาเพราะสภาพร่างกายที่ไม่สามารถไปต่อได้
- วันที่ 8 มิถุนายน มัลลอรี่แก้ตัวอีกครั้ง ครั้งนี้ทีมของเขามีแอนดรูว์ เออร์ไวน์ (Andrew Irvine) และ โนเอล โอเดล (Noel Odell) ซึ่งเป็นสมาชิกหน้าใหม่เดินทางมาภูเขาเอเวอร์เรสต์เป็นครั้งแรก มัลลอรี่ขึ้นไปพร้อมกับเออร์ไวน์เป็นคู่หู ขณะที่มีโนเอล ค่อยช่วยซัพพอร์ทอยู่ด้านล่าง แต่หลังจากขึ้นไปในเช้าวันนั้น ก็ไม่มีใครได้เห็นมัลลอรี่ และเออร์ไวน์ได้กลับลงมาอีกเลย

ปริศนาของจอร์จ มัลลอรี่ และ แอนดรูว์ เออร์ไวน์
มีข้อมูลและการคาดเดาตามมาอีกมากมายที่ยังเป็นปริศนาว่าทั้งสองคนได้ขึ้นไปถึงยอดสูงสุดนั้นหรือไม่ การเสียชีวิตอาจจะเกิดขึ้นหลังจากประสบความสำเร็จบนยอดสูงแล้ว แต่หลักฐานสำคัญคือกล้องถ่ายรูปซึ่งมัลลอรี่นำติดตัวขึ้นไปเพื่อถ่ายรูปเป็นหลักฐานก็ยังไม่สามารถหาพบจนปัจจุบันรวมทั้งศพของเออร์ไวน์
ขณะที่ศพของมัลลอรี่ถูกพบในปี 1999 บนความสูง 8138 เมตร “ศพของเขาอยู่ในท่านอนคว่ำบนกรวด แผ่นหลังทั้งหมดของมัลลอรีเปิดโล่ง ผิวหนังอยู่ในสภาพดีดูสะอาดและขาวจนคล้ายรูปปั้นหินอ่อน เชือกที่ขาดมัดรอบเอวของเขาแน่นจนทิ้งรอยไว้กลางลำตัว ซึ่งให้เบาะแสว่า ณ จุดหนึ่ง มัลลอรีน่าจะร่วงตกลงมาอย่างแรง — จากหนังสือ National Geographic ฉบับภาษาไทย No.228“
ที่มา :
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Timeline_of_Mount_Everest_expeditions







Leave a Reply