เช้านี้ที่ Yazd เมืองโอเอซิสกลางทะเลทราย คนขับแท็กซี่ที่นัดไว้ก็มาตรงเวลาเป๊ะ เราออกจากโรงแรมราวแปดโมงกว่า อากาศเย็นและครึ้มกว่าทุกวัน ลมบางเบาพัดผ่านกำแพงโบราณและยอดโดมดินเผา
เมื่อรถเคลื่อนออกจากตัวเมือง ถนนสายระหว่างเมืองทอดยาวไร้จุดสิ้นสุด เลนขาไปกลับแยกกันชัดเจนด้วยช่องกลางที่กว้างขวาง สองข้างทางเป็นทะเลทรายที่เวิ้งว้าง เงียบสงบ และสวยงามอย่างน่าเกรงขาม ชุมชนเล็ก ๆ ที่กระจัดกระจายระหว่างทาง คงเป็นที่ตั้งของ คาราวานซาราย ในสมัยที่เส้นทางสายไหมยังคึกคัก


คนขับแท็กซี่ใจดีหยิบชาอุ่น ๆ ที่เตรียมมาให้จิบระหว่างการเดินทาง กลิ่นหอมของใบชากับการได้ทานชาบนรถเป็นบรรยากาศแปลกใหม่ สบายๆที่เพิ่งจะได้มีโอกาสสัมผัส คล้ายกับการเดินทางร่วมกับครอบครัวที่สนิทสนมสมัยเด็กๆ
ราวเที่ยงครึ่ง เราก็มาถึง Hasht Behesht Apartment Hotel ที่พักแบบอพาร์ตเมนต์กว้างขวาง สะดวกสบาย อยู่ไม่ไกลจาก Naqsh-e Jahan Square หรือ Imam Square หัวใจของเมืองอิสฟาฮาน คืนนี้และคืนถัดไปดูจะเป็นการพักผ่อนอย่างเต็มที่
ที่พักสะอาด พร้อมเสิร์ฟอาหารเช้าถึงห้อง ราคาคืนละ 105 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าคุ้มค่าสำหรับทำเลใกล้ย่านสำคัญแบบนี้
เก็บของเรียบร้อย เราก็ออกมาเดินเล่นที่ Naqsh-e Jahan Square จัตุรัสที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาฟาวิด (ศตวรรษที่ 17) รายล้อมด้วยสถาปัตยกรรมอิสลามที่งดงาม

Naqsh-e Jahan Square: หัวใจแห่งอารยธรรมซาฟาวิด
หลังเช็กอินและพักเอาแรง เราออกมาเดินเล่นยัง Naqsh-e Jahan Square (หรือ Imam Square) ซึ่งแค่ก้าวแรกที่เห็นก็ต้องอุทานในใจว่านี่คือจัตุรัสที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกจริง ๆ จัตุรัสแห่งนี้สร้างขึ้นในยุค กษัตริย์ Shah Abbas I ราวปี 1602 เป็นศูนย์กลางทั้งการเมือง ศาสนา และการค้าในยุคทองของจักรวรรดิเปอร์เซีย
Naqsh-e Jahan แปลว่า “ภาพสะท้อนของโลก” ชื่อที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่และความงดงามของพื้นที่กว่า 89,000 ตารางเมตร ถูกล้อมด้วยสถาปัตยกรรมชั้นเลิศ ได้แก่
- Masjed-e Shah (Shah Mosque) โดมสีน้ำเงินเข้มตัดกับฟ้าครามที่กลายเป็นภาพจำของ Isfahan
- Ali Qapu Palace พระราชวังที่เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์และที่ชมการแข่งขันโปโลกลางจัตุรัส
- Sheikh Lotfollah Mosque มัสยิดเล็กแต่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดด้วยลวดลายกระเบื้องที่เปลี่ยนสีไปตามแสงแดด
- Bazaar-e Bozorg ที่เชื่อมต่อกับจัตุรัส
ในอดีตจัตุรัสแห่งนี้เคยเป็นที่จัดงานเฉลิมฉลอง การออกรบจำลอง หรือแม้กระทั่งการแข่งขันโปโล ซึ่งโปโลถือกำเนิดในเปอร์เซีย

เป้าหมายของเราคือ Azadegan Restaurant ร้านอาหารสุดเก๋ไก๋ที่ตกแต่งแนววินเทจโบราณแบบจัดเต็มตามที่ Tripadvisor แนะนำ ลองสั่งเมนูแบบดั้งเดิมของอิหร่านมาหลายจาน ทั้ง traditional meat stew, whey and eggplant, และ chicken kebab รสชาติของ kebab อร่อยกลมกล่อมจนกลายเป็นเมนูโปรด แต่ stew กลับเละไปนิด
Bazaar-e Bozorg: เส้นเลือดใหญ่แห่งการค้าเปอร์เซีย
เดินต่อจากจัตุรัสเข้าสู่ Bazaar-e Bozorg หรือ Grand Bazaar of Isfahan ตลาดเก่าแก่อายุกว่า 1,000 ปี ที่ยังคงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีซอกซอยคดเคี้ยวและร้านค้าหลายร้อยร้านเรียงรายไปตามเส้นทาง
ที่นี่เปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโบราณ ที่พ่อค้าแม่ค้าเดินทางจาก จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง ไปจนถึงยุโรป เพื่อซื้อขายผ้าไหม พรมเปอร์เซีย เครื่องทอง เครื่องประดับ และเครื่องเทศหอม
ระหว่างเดินเราพบเด็ก ๆ ชาวเปอร์เซียที่น่ารัก หนึ่งในนั้นบอกว่าใฝ่ฝันอยากเป็นนักบาสเกตบอล ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นขึ้นอีก

Jolfa และ Vank Cathedral: มนต์เสน่ห์ของชุมชนอาร์เมเนียนกลางดินแดนเปอร์เซีย
หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่าจะมี โบสถ์คริสต์ อยู่ในอิหร่านซึ่งเป็นประเทศมุสลิม แต่ที่อิสฟาฮาน เขต Jolfa กลับเป็นหลักฐานอันงดงามของการอยู่ร่วมกันระหว่างวัฒนธรรม
ชุมชนนี้เริ่มขึ้นในปี 1604 เมื่อ กษัตริย์ Shah Abbas I (Shah Abbas the Great) แห่งราชวงศ์ซาฟาวิด ผู้ยิ่งใหญ่และก้าวหน้าทางความคิด ทรงดำริย้ายชาว อาร์เมเนียน จากเมือง Jolfa (โจลฟา) เดิม ใน Nakhchivan (บริเวณอาเซอร์ไบจานในปัจจุบัน) มายัง Isfahan เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการค้า
ชาวอาร์เมเนียนขึ้นชื่อในเรื่องความเชี่ยวชาญด้าน การค้าผ้าไหม และ เครื่องประดับ ซึ่งช่วยทำให้อิสฟาฮานกลายเป็นศูนย์กลางการค้าระดับโลกในยุคทองของเปอร์เซีย




Vank Cathedral หรือที่รู้จักกันในชื่อ Holy Savior Cathedral เป็นผลงานการก่อสร้างที่เป็นสัญลักษณ์ของชุมชนนี้ เริ่มสร้างราวปี 1606 แล้วเสร็จในปี 1655 โบสถ์แห่งนี้ผสมผสาน ศิลปะคริสต์อาร์เมเนียน กับ สถาปัตยกรรมเปอร์เซีย ได้อย่างงดงาม ภายนอกดูเรียบง่ายตามแบบเปอร์เซีย แต่ภายในกลับอัดแน่นด้วย ภาพเฟรสโก (fresco) และ จิตรกรรมฝาผนัง ที่บอกเล่าเรื่องราวจากคัมภีร์ไบเบิล รวมถึง ภาพการพลีชีพของนักบุญ และ เหตุการณ์การสังหารหมู่ชาวอาร์เมเนียนในอดีต
หนึ่งในสิ่งที่สะกดสายตาคือ โดมกลางโบสถ์ ที่ทาสีทองอร่าม ล้อมด้วยภาพวาดศิลปะยุโรป-เปอร์เซียที่ผสมกลมกลืนอย่างน่าทึ่ง
สิ่งล้ำค่าที่สุดภายในโบสถ์คือ พิพิธภัณฑ์ Vank ที่จัดแสดง หนังสือที่เล็กที่สุดในโลก (ขนาดเล็กกว่าปลายนิ้ว) และ เส้นผมที่จารึกตัวอักษรด้วยมือ ซึ่งต้องส่องด้วยแว่นขยายจึงจะมองเห็นได้
Jolfa ยังเต็มไปด้วยร้านกาแฟเล็ก ๆ แกลเลอรี่งานศิลปะ และกลิ่นอายของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างศาสนาอิสลามและคริสต์ออร์โธดอกซ์
นั่นทำให้การมาเยือน Vank Cathedral ไม่ใช่แค่การชมความงามของสถาปัตยกรรม แต่คือการสัมผัสเรื่องราวของผู้คนที่ฝ่าฟันประวัติศาสตร์อันยาวนานมาอยู่ร่วมกับวัฒนธรรมใหม่ได้อย่างกลมกลืน
Siosepol: สะพาน 33 โค้ง แห่งสายน้ำและกาลเวลา
ต่อจากย่าน Jolfa เราเดินไปยัง Siosepol หรือ สะพาน 33 โค้ง ที่ทอดข้ามแม่น้ำ Zayandeh Rud ซึ่งในช่วงนี้แห้งไปตามสภาพภูมิอากาศ
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1599-1602 โดยคำสั่งของ Shah Abbas I เพื่อเชื่อมย่าน Jolfa กับตัวเมือง และเพื่อใช้เป็นทั้งสะพานข้ามแม่น้ำและเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน
ด้วยความยาวกว่า 300 เมตร และเสาค้ำรับน้ำหนักที่เรียงตัวกัน 33 โค้งอย่างสมมาตร ทำให้ Siosepol เป็นหนึ่งในสะพานที่งดงามและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก
ในอดีต ผู้คนมักจะมานั่งเล่นริมสะพาน ชมแสงจันทร์สะท้อนลงบนผิวน้ำ หรือฟังบทเพลงพื้นบ้านอันไพเราะ เป็นภาพบรรยากาศที่ยังคงอยู่ในใจชาว Isfahan จนถึงทุกวันนี้
แม้วันนี้แม่น้ำจะเหือดแห้ง แต่ความสง่างามของสะพานก็ยังคงตราตรึงใจนักเดินทางทุกคนที่ได้มาเยือน








Leave a Reply