เที่ยว Kharanaq – Chak Chak – Meybod – เย็นย่ำใน Yazd
เริ่มต้นวันด้วยข่าวชวนปวดหัวจากทางโรงแรม แท็กซี่ที่เราจองไว้สำหรับออกทริปหนึ่งวันไปยัง Maybod, Chak Chak และ Kharanaq ดันยกเลิกกะทันหันเพราะคนขับหนีไป Shiraz เสียอย่างนั้น! แต่การเดินทางไม่เคยหมดทาง เราจึงโทรหาคนขับใจดีที่พาเราเที่ยวเมื่อวาน เขายินดีขับรถพาเราไปต่อโดยไม่รีรอ วันของเราจึงเริ่มต้นไปตามแผนที่วางแผนไว้
Old Castle of Kharanaq — เมืองเก่าที่หยุดเวลาไว้
Kharanaq (คารานัค) เป็นหมู่บ้านโบราณที่ตั้งอยู่ในหุบเขาเงียบสงบ ห่างจากเมือง Yazd ประมาณ 85 กิโลเมตร เมืองนี้มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ยุค pre-Islamic หรือราว 4,000 ปีที่แล้ว โดยมีการพัฒนาต่อเนื่องจนถึงสมัยราชวงศ์ซาซาเนียน (Sassanid) และราชวงศ์อับบาซิด (Abbasid)
นักโบราณคดีเชื่อว่า Kharanaq เคยเป็นชุมชนของชาวเปอร์เซียนโบราณ ด้วยการก่อสร้างบ้านดินแบบอิฐโคลน (mudbrick) ที่สะท้อนลักษณะสถาปัตยกรรมของภูมิภาคกลางทะเลทราย อาคารเหล่านี้ช่วยเก็บความเย็นในเวลากลางวัน และเก็บความอบอุ่นในยามค่ำคืน ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศรุนแรงของทะเลทรายอย่างยิ่ง

ชื่อ “Kharanaq” แปลว่า “ดินแดนแห่งดวงอาทิตย์ขึ้น” ในภาษาเปอร์เซียโบราณ
- เมืองนี้มี “มัสยิดสั่นได้” ที่สร้างขึ้นจากโคลน ซึ่งหนึ่งในหอคอยของมัสยิดสามารถสั่นไหวได้เบา ๆ หากมีคนขึ้นไปยืนแล้วโยกตัวหรือกระโดดเบา ๆ บนพื้นชั้นบนสุด หอคอยจะส่งแรงสะเทือนผ่านโครงสร้างจนเกิดการสั่นทั่วทั้งหอ แต่ไม่พัง! เป็นการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่ยืดหยุ่น และสะท้อนภูมิปัญญาการใช้วัสดุพื้นถิ่นอย่างลึกซึ้ง
การเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ บนหลังคาโดม ลัดเลาะขึ้นลงตามความสลับซับซ้อนของตัวเมือง พร้อมแสงแดดที่ทาบลงมาบนผนังดิน เป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าสู่โลกอีกใบ เมืองนี้แทบไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว เหลือเพียงซากอาคารที่เล่าเรื่องราวของอดีตได้อย่างมีชีวิต
|
|
|
Chak Chak — หยดน้ำแห่งศรัทธาในภูเขา
Chak Chak หรือ Pir-e Sabz คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวโซโรอัสเตอร์ (Zoroastrians) ตั้งอยู่กลางหุบเขาแห้งแล้งของอิหร่าน จุดเด่นของที่นี่คือวิหารหินเล็ก ๆ ที่มีหยดน้ำไหลจากหน้าผาตลอดทั้งปี ผู้คนเชื่อกันว่าเป็น “น้ำตาแห่งภูเขา” ที่ร่ำไห้ให้กับเจ้าหญิงผู้ศรัทธา



ตามตำนาน เจ้าหญิง Niktis ธิดาของกษัตริย์ Yazdegerd III แห่งราชวงศ์ซาซาเนียน ได้หลบหนีการรุกรานของชาวอาหรับมายังที่นี่ และวิงวอนต่อภูเขาให้คุ้มครองเธอ ภูเขาก็เปิดออกโอบล้อมเธอไว้ ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นจุดแสวงบุญสำคัญของผู้ศรัทธา
- ทุกเดือนมิถุนายน จะมีการประกอบพิธีกรรมประจำปีของชาวโซโรอัสเตอร์ที่นี่
- ภายในถ้ำมี “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” และแผ่นหินที่เชื่อว่าเป็นรอยเท้าของเจ้าหญิง Niktis
เราค่อย ๆ เดินขึ้นสู่วิหารในซอกผา ลัดเลาะใต้ร่มไม้ใหญ่ที่เลื้อยปกคลุม โอบล้อมเราจากแดดแรงกลางทะเลทราย บรรยากาศราวกับเวลาเคลื่อนช้าลงท่ามกลางกลิ่นธูปบางเบาและแสงเทียนที่ยังคงถูกจุดโดยผู้มาเยือน
แม้ที่นี่จะอยู่ท่ามกลางดินแดนของศาสนาเก่าแก่ แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนได้ยืนอยู่ตรงรอยต่อของอดีตและปัจจุบัน ความเชื่อที่เคยรุ่งเรืองหลายร้อยปีแม้จะถูกลดบทบาทลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ก็ยังไม่เลือนหาย การที่ผู้คนยังคงแวะเวียนมา จุดไฟบูชา และยกมือเคารพ — เป็นเครื่องเตือนใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจไม่จีรัง แต่ร่องรอยของศรัทธานั้นยังคงอยู่ให้เราได้เดินตาม


ก่อนออกเดินทางต่อ คนขับรถเปิดกระโปรงท้ายอย่างคล่องแคล่ว แล้วหยิบอุปกรณ์เล็ก ๆ ออกมาเพื่อชงชาให้เราดื่มกันริมทาง ชาธรรมดาในแก้วที่เขาเตรียมใส่มาในตระกร้าท้ายรถ สร้างความรู้สึกประทับใจเกินคาดให้พวกเรา
รถแล่นต่อบนถนนสายใหญ่ที่ทอดยาวราบเรียบท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง — เป็นภาพที่เห็นจนคุ้นตาในอิหร่าน หลังจากหลายวันของการเดินทาง ฉันเริ่มสังเกตว่า แม้ในพื้นที่ที่ดูเหมือนร้างไร้ผู้คน ถนนแทบทุกสายก็ยังถูกตัดอย่างดี เป็นทางหลวงกว้างขวางที่น่าทึ่ง
อาจเป็นผลจากรายได้มหาศาลจากการค้าน้ำมัน และนโยบายของรัฐบาลที่พยายามพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาชน แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันและข้อจำกัดจากการเมืองระหว่างประเทศ นี่คืออีกด้านหนึ่งของอิหร่าน ประเทศที่ยังคงเดินหน้า แม้โลกภายนอกจะมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
เมืองโบราณ Meybod — ภูมิปัญญากลางทะเลทราย
เมือง Meybod มีประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงยุคจักรวรรดิซาซาเนียน (Sassanid Empire) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 ทำให้เมืองนี้มีอายุเก่าแก่กว่า 1,800 ปี และเคยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการค้าในเส้นทางสายไหม
แม้เวลาจะผ่านไปนานนับพันปี แต่ภาพของ Meybod ในวันนี้ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของอดีต บ้านเรือนจำนวนมากในเมืองยังคงสร้างด้วย อิฐโคลน (mudbrick) เช่นเดียวกับที่ใช้กันในสมัยโบราณ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การรักษาสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ผนังดินช่วยเก็บความเย็นในเวลากลางวัน และรักษาความอบอุ่นในยามค่ำคืนได้อย่างน่าอัศจรรย์

แม้จะมีการปรับปรุงให้ทันสมัยในบางส่วน เช่น ติดตั้งไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ หรืออินเทอร์เน็ต แต่ก็ยังสามารถรักษาเสน่ห์และความเรียบง่ายของอดีตไว้ได้อย่างกลมกลืน เป็นภาพที่ทำให้รู้สึกว่าผู้คนในเมืองนี้ไม่ได้แค่ “อยู่กับอดีต” แต่เลือกจะอยู่ “ร่วมกับอดีต” อย่างมีสติและความเข้าใจ เราแวะชมสถานที่สำคัญหลายแห่งที่สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาอันลึกซึ้งของชาวเปอร์เซียในการดำรงชีวิตท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง

- Narin Castle (ปราสาทนารีน) — ป้อมโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินดินสูงใจกลางเมือง Meybod ปราสาทแห่งนี้มีอายุเก่าแก่หลายพันปี และเชื่อกันว่ามีรากฐานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนจะถูกพัฒนาในยุคมีเดียน (Median Empire) และซาซาเนียน (Sassanid Empire) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางทหารและการปกครองโครงสร้างของ Narin Castle ทำจากอิฐโคลนและมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนการปรับตัวให้เข้ากับภูมิประเทศทะเลทราย ภายในมีห้องโถง ซอกทางเดิน และพื้นที่สังเกตการณ์บนยอดปราสาทที่สามารถมองเห็นเมืองได้รอบทิศ นอกจากจะใช้เป็นป้อมปราการแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและอำนาจของเมืองในยุคนั้น ภายใต้กำแพงหนาทึบ และต้องระวังภัยคุกคามจากภายนอก เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมเปอร์เซีย



- Yakhchal (ตู้เย็นโบราณ) — โดมทรงสูงที่ใช้เก็บน้ำแข็งในฤดูร้อน โดยอาศัยหลักอากาศถ่ายเทและการระเหยของน้ำ โครงสร้างนี้มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคจักรวรรดิซาซาเนียน โดยใช้วิธีการเก็บน้ำแข็งจากภูเขาในฤดูหนาว แล้วรักษาความเย็นไว้ได้นานหลายเดือนแม้ในฤดูร้อน
- Caravanserai (คาราวานซาราย) — ที่พักสำหรับกองคาราวานในเส้นทางสายไหม ซึ่งมีการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ยุคอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ และเชื่อมโยงกับเครือข่ายเส้นทางการค้าอย่าง Royal Road ในสมัยจักรวรรดิอาเคเมเนียน (Achaemenid Empire) โดยแต่ละแห่งมีลานกว้างตรงกลางให้คนและสัตว์ได้พักผ่อน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น คอกสัตว์ น้ำดื่ม และที่พัก
- Pigeon Tower (หอนกพิราบ) — หอสูงที่ออกแบบให้มีช่องสำหรับให้นกพิราบอาศัยอยู่ โดยเฉพาะเพื่อเก็บมูลของนกมาใช้เป็นปุ๋ย ซึ่งนับว่าเป็นการจัดการทรัพยากรอย่างชาญฉลาด หอแบบนี้มีใช้มาตั้งแต่ยุคกลางและยังปรากฏในหลายเมืองโบราณของอิหร่าน
- Meybod Post Office (ไปรษณีย์โบราณ Meybod) อีกหนึ่งสถานที่น่าทึ่งที่ไม่ควรพลาด ไปรษณีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์กาจาร์ (Qajar Dynasty) และถือเป็นหนึ่งในไปรษณีย์ที่เก่าแก่ที่สุดของอิหร่าน ภายในอาคารมีการจำลองระบบการส่งจดหมายในยุคก่อนการสื่อสารสมัยใหม่ เช่น ช่องคัดแยกจดหมาย เส้นทางเดินของพนักงานส่งสาร และห้องพักของผู้ขนส่ง โดยจดหมายในอดีตมักเดินทางผ่านเครือข่ายกองคาราวานและสถานีไปรษณีย์ที่ตั้งเรียงรายทั่วประเทศ
เมืองนี้สอนให้รู้ว่า “ภูมิปัญญา” เป็นรากฐานของการอยู่รอดอย่างแท้จริง
ชมเมืองกลางทะเลทรายจากดาดฟ้าเมือง Yazd
ตกเย็นเรากลับมาที่ Yazd และขึ้นไปยังดาดฟ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่ง วิวเบื้องหน้าคือทะเลหลังคาอิฐดินเผาท้องฟ้า สีฟ้าจาง เป็นภาพแห่งความทรงจำของเมือง
โดมสีน้ำเงินของมัสยิด Jameh Mosque โดดเด่นในแนวเส้นขอบฟ้า พร้อมหอจับลม (Badgir) ที่ตั้งเรียงราย — สะท้อนภูมิปัญญาของชาว Yazd ในการรับลมเย็นเข้าสู่ตัวบ้าน
เราสั่งอาหารพื้นเมืองแบบเปอร์เซีย ข้าวหมกเนยหอม เครื่องเทศอ่อน ๆ และชา ชมเมือง Yazd อย่างจุใจ ก่อนจะร่ำลาเพื่อเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้










Leave a Reply