เรามาถึง Yazd ตอนฟ้ายังไม่สว่าง รถบัสค่อย ๆ แล่นเข้าจอดในสถานีอย่างเงียบงัน บางคนบ่นว่านอนไม่หลับตลอดคืนเพราะเบาะไม่สบาย แต่สำหรับฉัน มันกว้างพอจะพิงศีรษะหลับได้ แม้จะไม่เต็มอิ่ม แต่ก็เพียงพอให้เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่นแบบทะเลทราย
เราเรียกแท็กซี่ตรงไปยังที่พัก Jungle Hotel โรงแรมเล็ก ๆ ใจกลางเมืองเก่า ที่เราจองไว้สองคืน ราคาคืนละ 70 ดอลลาร์ พร้อมห้องน้ำส่วนตัวและอาหารเช้าเรียบง่าย โชคดีที่ทางโรงแรมให้เช็คอินแต่เช้า เราได้พักผ่อนหลังจากคืนที่โยกเยกบนถนนสายยาว
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและดื่มชาร้อน ๆ เราก็เริ่มต้นเดินสำรวจเมืองกันอย่างกระตือรือร้น แวะร้านกาแฟเล็ก ๆ ก่อนจะเถลไถลเข้าไปเลือกดูผ้าทอมือ เสื้อผ้าพื้นเมืองในร้านท้องถิ่น เสน่ห์ของ Yazd คือทุกอย่างดูนุ่มนวล ทั้งสีของเมือง อากาศ และแม้แต่รอยยิ้มของผู้คน


จากนั้นเราก็มาถึง Jame Mosque of Yazd — หนึ่งในมัสยิดที่งดงามและโดดเด่นที่สุดของอิหร่าน
Jame Mosque of Yazd หรือในภาษาเปอร์เซียว่า Masjed-e Jameh เป็นมัสยิดหลักของเมือง Yazd ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่งดงามที่สุดของสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียนยุค Ilkhanid และ Timurid สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 บนพื้นที่ของวิหารโซโรอัสเตอร์เก่า (Zoroastrian fire temple) และมีการบูรณะต่อเนื่องหลายยุคหลายสมัย
ที่นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของสถาปัตยกรรมเปอร์เซียนยุคกลาง มีหออะซานแฝดสูง 52 เมตร ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในอิหร่าน ซุ้มประตูหน้าสูงตระหง่าน ประดับด้วยกระเบื้องโมเสคสีฟ้า เทอร์ควอยซ์ และเขียวเข้ม ลวดลายเรขาคณิตละเอียดราวบทกวีแปะอยู่บนผนังอิฐ
แม้มิใช่ชาวมุสลิม เราก็สามารถเดินชมได้อย่างอิสระ ภายในมัสยิดยังมี Mihrab แกะสลักหินอ่อนสวยงาม ซึ่งบอกทิศทางไปเมกกะ มันไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง แต่คือการสะสมของศรัทธา ศิลปะ
พื้นที่รอบ Jame Mosque คือหัวใจของเมืองเก่า Yazd ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดย UNESCO ในปี 2017 เนื่องจากเป็นหนึ่งในเมืองที่ยังคงรูปแบบดั้งเดิมของการก่อสร้างแบบ “อิฐดิน” (adobe) ได้ดีที่สุดในโลก




เดินจากมัสยิดออกไปเพียงไม่กี่นาที เราพบกับตรอกเล็กตรอกน้อยที่ปูด้วยอิฐ มีหลังคาโค้งแบบเปอร์เซียที่ช่วยกรองแสงและลดความร้อน เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติกลางทะเลทราย
ใกล้ทางเข้ามัสยิด เราแวะที่ Le Café de Paris ร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่เจ้าของเป็นคู่สามีภรรยาชาวอิหร่านซึ่งพูดภาษาฝรั่งเศสคล่องราวกับอยู่ในปารีส กาแฟเข้มข้น เครปนุ่มละลายในปาก และแซนด์วิชรสชาติดีจนเราอดถามไม่ได้ว่าเย็นนี้มีพาสต้าหรือไม่
ลุงเจ้าของร้านยิ้มแล้วตอบเรียบง่ายว่า “ไม่มีในเมนูหรอก…แต่ถ้ามาเย็นนี้ ฉันจะทำให้”
เป็นคำพูดที่เหมือนคำสัญญา…เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยน้ำใจ ซึ่งพวกเราตั้งใจว่าจะกลับมาแน่ๆ
บ่ายสองหลังออกจากร้านกาแฟ เราเรียกแท็กซี่เพื่อไปเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาเก่าแก่ของชาวเปอร์เซียที่เคยรุ่งเรืองก่อนการมาถึงของอิสลาม ปัจจุบันแม้ผู้นับถือจะเหลือน้อย แต่ศรัทธายังคงฝังลึกอยู่ในเมือง Yazd
แท็กซี่ตกลงราคา 3 จุดหมาย 12 ดอลลาร์ ระหว่างทางเขาพยายามชวนเราไปทัวร์รอบนอกเมือง แต่เราได้จองแท็กซี่ไว้แล้ว ก็เลยติดต่อเอาไว้สำหรับพาไป Isfahan ในวันมะรืนแทน ได้ทั้งทริปและเพื่อนใหม่ในเวลาเดียวกัน



จุดหมายแรกคือ Atashkadeh (Fire Temple)
ในศาสนาโซโรอัสเตอร์ ไฟคือสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และปัญญา ที่ Fire Temple ของ Yazd นี้มี “เปลวไฟนิรันดร์” ที่ว่ากันว่าไม่เคยมอดดับมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 470 ซึ่งเท่ากับว่าไฟดวงนี้ลุกโชนมานานกว่าพันห้าร้อยปี
ตัวอาคารนั้นเรียบง่าย ไม่โอ่อ่าเหมือนมัสยิดหรือวัดอื่น ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกสงบลึก ๆ คล้ายกำลังยืนอยู่ต่อหน้าธาตุแท้ของศรัทธา ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ แต่จะถูกกั้นไม่ให้เข้าใกล้เตาไฟโดยตรง ต้องมองผ่านกระจกเพื่อคงความเคารพตามความเชื่อดั้งเดิม


ต่อมาคือ Tower of Silence (Dakhmeh) หอคอยกลมบนเนินเขาเตี้ย ๆ
เพียงไม่กี่นาทีจากตัวเมือง เราก็มาถึงหุบเขาเตี้ย ๆ แห่งหนึ่งที่ดูเงียบและเวิ้งว้าง บนยอดเนินมีกลุ่มหอคอยกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ที่นี่คือ Dakhmeh หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หอคอยแห่งความเงียบ”
ในอดีต ชาวโซโรอัสเตอร์เชื่อว่าร่างของผู้เสียชีวิตจะทำให้ดิน น้ำ และไฟบริสุทธิ์เกิดมลทิน จึงไม่นิยมฝังหรือเผา พวกเขาจึงนำศพขึ้นไปวางบนยอดหอคอยนี้ ปล่อยให้แร้งและธรรมชาติจัดการคืนสภาพร่างกลับสู่โลกอย่างไร้มลทิน
แม้ปัจจุบันวิธีปฏิบัตินี้ไม่ได้ใช้แล้ว แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงถูกรักษาไว้ในฐานะอนุสรณ์ของความเชื่อเก่าแก่ และเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นตัวเมือง Yazd ได้ไกลสุดลูกหูลูกตา บรรยากาศที่เงียบสงัด คล้ายจะบอกเล่าความนอบน้อมที่ธรรมชาติและความตายเคยถูกเชิดชูด้วยความเคารพ


จุดสุดท้ายที่พาไปคือ Dawlat Abad Garden
สวนเปอร์เซียดั้งเดิมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เช่นกัน ที่นี่คือโอเอซิสแห่งสีเขียวท่ามกลางทะเลทราย จุดเด่นที่สุดคือ Badgir หรือหอระบายลม สูงกว่า 33 เมตร ซึ่งเป็น หอคอยลมที่สูงที่สุดในอิหร่าน
สถาปัตยกรรมนี้แสดงถึงภูมิปัญญาการใช้ลมระบายอากาศในอาคารกลางทะเลทรายได้อย่างชาญฉลาด ภายในสวนมีสระน้ำยาวทอดกลาง พุ่มไม้เขียวขจี และกลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ
หลังจากวันแห่งการเดินทางผ่านศรัทธาเก่า ๆ มาทั้งวัน สวนแห่งนี้คือจุดพักสายตาและหัวใจที่งดงาม

ตกเย็น เรากลับเข้าเมืองมาเดินเล่นที่ Amir Chakhmaq Square จัตุรัสกว้างใจกลางเมืองเก่าที่เปล่งประกายแสงสีทองจากพระอาทิตย์ตก แผงขายขนมท้องถิ่นเรียงรายอยู่ริมทาง กลิ่นแป้งทอดและน้ำกุหลาบลอยมาในอากาศ อารมณ์คล้ายงานวัดกลางทะเลทราย
จัตุรัส Amir Chakhmaq (อาเมียร์ ชาคห์มากห์) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า Yazd และถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญที่สุดของเมือง จัตุรัสแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการพบปะของผู้คน แต่ยังเป็นศูนย์รวมของศรัทธา ประวัติศาสตร์ และความทรงจำของเมืองที่มีชีวิตมากว่า 700 ปี
ประวัติย่อ
จัตุรัสนี้ตั้งชื่อตาม Amir Jalal al-Din Chakhmaq ขุนนางแห่งราชวงศ์ทีมูริด (Timurid) ผู้ปกครอง Yazd ในช่วงศตวรรษที่ 15 เขาและภรรยาได้ริเริ่มสร้างมัสยิด อาคารสาธารณะ และตลาดเพื่อพัฒนาเมือง ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและศาสนาในยุคนั้น

สิ่งก่อสร้างหลักที่เด่นที่สุดในบริเวณนี้คือ:
- Amir Chakhmaq Complex – กลุ่มอาคารที่ประกอบด้วยมัสยิด ฮอสเซนียะห์ (Hosseiniyeh – อาคารประกอบพิธีกรรมทางศาสนา) โรงอาบน้ำ และคาราวานซาราย
- หน้าจัตุรัสมี โครงสร้างซุ้มประตูสามชั้น (สามแถวแบบขั้นบันได) ที่ประดับด้วยโค้งโบราณและลวดลายกระเบื้องสีฟ้าเขียวดูอลังการ โดยเฉพาะในช่วงเย็นที่แสงอาทิตย์ตกกระทบ ยิ่งขับให้มันดูเหมือนฉากภาพยนตร์ย้อนยุคที่มีชีวิต
ยามค่ำที่จัตุรัสจะเปิดไฟประดับซุ้มจัตุรัสอย่างงดงาม แสงสีทองนวลกระทบกับผิวอิฐดิน และผู้คนมักมานั่งพูดคุย จิบชา หรือเดินเล่นกันอย่างผ่อนคลาย เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่โรแมนติก
แล้วเราก็กลับไป “ทวงสัญญา” จากลุงที่ Le Café de Paris และแน่นอน พาสต้าร้อน ๆ จานนั้นวางลงตรงหน้าเรา กลิ่นหอมจากซอสมะเขือเทศและสมุนไพรอบอวลไปทั่วโต๊ะ มันไม่ใช่พาสต้าที่หรูหรา แต่มันอร่อยเพราะมาพร้อมรอยยิ้มและความตั้งใจจากเจ้าของร้าน
บางครั้ง ความประทับใจของการเดินทางไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่เราได้พบ…กับคำพูดง่าย ๆ ที่กลายเป็นความทรงจำยาวนาน








Leave a Reply