แผนการเดินทางสู่ทะเลทรายลูต (Lut Desert) ประเทศอิหร่าน
เราออกเดินทางจากเตหะรานตั้งแต่เช้า ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืดเพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินภายในประเทศ ไฟลต์ของเราคือเวลา 08.10 น. ใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบินเมือง Kerman เวลา 09.50 น. ทันทีที่ลงจากเครื่อง สายลมแห้ง ๆ ต้อนรับเราด้วยอุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้นตามสภาพภูมิอากาศในเขตทะเลทราย คุณ Iraj ไกด์ท้องถิ่นผู้ใจดีที่เรานัดหมายไว้ล่วงหน้า ก็มารอรับเราที่สนามบินตรงเวลาอย่างไม่มีพลาด
เดิมทีเราวางแผนไว้เพียงเที่ยว Rayen Castle และ The Kaluts ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวหลักในบริเวณนี้ โดยตกลงราคาทัวร์กับคุณ Iraj ไว้ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอพูดคุยกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ เขาก็เสนอไอเดียที่เกินคาด: พักที่บ้านของเขาเอง พร้อมจัดอาหารเย็นแบบโฮมเมดให้ด้วย เพิ่มค่าใช้จ่ายเป็น 250 ดอลลาร์สำหรับพวกเราสี่คน ซึ่งเมื่อเทียบกับความสะดวก ความอบอุ่น และโอกาสได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างใกล้ชิดแล้ว เราก็ตอบตกลงทันที
Rayen Castle ป้อมปราการกลางภูเขา
จากตัวเมือง Kerman เราออกเดินทางด้วยรถยนต์มุ่งหน้าสู่ Rayen Castle ระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร ผ่านทิวเขาแห้งแล้งและทุ่งโล่งที่ทอดยาวออกไปสุดสายตา Rayen Castle คือป้อมปราการเก่าแก่ที่สร้างจากอิฐดินเผา (adobe) และเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในอิหร่าน ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา Hezar ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศ

ปราสาทแห่งนี้มีความเป็นมาที่ยาวนานนับพันปี เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยก่อนอิสลาม และถูกใช้เป็นที่มั่นป้องกันศัตรูและเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของกองคาราวานที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหม ความซับซ้อนของระบบป้องกัน ทั้งกำแพงสูง หอคอย และทางเดินลับต่าง ๆ ทำให้สถานที่แห่งนี้เปี่ยมด้วยจินตนาการ เราเดินชมแต่ละมุมของปราสาทด้วยความตื่นเต้น ราวกับย้อนเวลากลับไปในอดีต
|
|
|
เส้นทางสู่ทะเลทรายลูต
หลังจากใช้เวลาอยู่ที่ Rayen Castle เราออกเดินทางต่อไปยังทะเลทรายลูต ถนนลาดยางเรียบสนิท วิ่งตัดผ่านภูมิประเทศแห้งแล้งอันกว้างใหญ่ ทำให้เราประหลาดใจในความสามารถของอิหร่านในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ ระหว่างทางคุณ Iraj แวะให้เราชมบ่อเก็บน้ำโบราณที่ Shadad ซึ่งปัจจุบันแม้จะไม่มีน้ำแล้ว แต่ยังหลงเหลือโครงสร้างที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการจัดการน้ำของชาวเปอร์เซียในอดีต


ระหว่างทางเขาจอดรถริมลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลผ่านท่ามกลางภูมิประเทศแห้งแล้ง ท่ามกลางภูเขาสีน้ำตาลหม่น ๆ และพื้นหินกรวด พวกเราปูเสื่อสีสดใสริมทาง แล้วนั่งล้อมวงกันดื่มชาอุ่น ๆ พร้อมของว่างที่เขาเตรียมมาในกล่องพลาสติก มีทั้งเค้ก semolina หน้ากรอบ หอมกลิ่นเนย และขนมเหนียวนุ่มสีเข้มคล้าย halvah อากาศเย็นสบายกับลมแผ่ว ๆ ที่พัดผ่านลำธารใสไหลริน ทำให้มื้อกลางวันเรียบง่ายนี้กลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดของการเดินทาง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และกลิ่นชาหอม ๆ คือภาพจำที่เราจะไม่มีวันลืม
บทบาทของ Caravansarai และการจำลองสมรภูมิ
ต่อจากนั้นเราแวะที่ Caravansarai โบราณ ซึ่งในอดีตเป็นสถานที่พักแรมของเหล่ากองคาราวานที่เดินทางข้ามทะเลทราย จุดนี้คุณ Iraj เริ่มแสดงบทบาทเหมือนผู้บัญชาการรบ เขานำเราขึ้นไปยังหอคอยเล็ก ๆ เพื่อดูมุมมองโดยรอบ และอธิบายว่ายุทธศาสตร์ในการป้องกันเมืองในอดีตเป็นอย่างไร เส้นทางรอบกำแพงอาจเดินง่ายแต่เปิดเป้าชัดเจน เขาแนะนำว่าเส้นทางหอคอยแคบ ๆ แม้ปีนยากแต่ปลอดภัยกว่าสำหรับนักรบ


ไม่ทันไร เสียงหินตกกระแทกดัง “โครม!” ทำให้ทั้งผู้บัญชาการและ “ทหารอาสาหน้าซื่อ” ทั้งสี่กระโดดหลบกันแทบไม่ทัน เราเห็นเด็กชายท้องถิ่นวิ่งเข้ามาพร้อมซากนกในมือ กลายเป็นว่ากลุ่มเด็กซนเป็นต้นเหตุของเสียงโครมด้วยความบังเอิญ ศัตรูของเราร้ายกาจจริงๆ….
Lut Desert: ทะเลทรายที่ร้อนที่สุดในโลก
จุดหมายปลายทางที่เรารอคอย — ทะเลทรายลูต หรือ Dasht-e Lut คือหนึ่งในสถานที่ร้อนที่สุดบนโลก อุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนสามารถทะยานถึง 65 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้พื้นที่บางส่วนไม่สามารถอยู่อาศัยได้เลย พื้นที่แห่งนี้มีความพิเศษไม่ใช่แค่เพราะอุณหภูมิ แต่ยังมีภูมิประเทศที่แปลกตา เต็มไปด้วยลานหินและเนินทรายที่ถูกลมและฝนปั้นแต่งจนกลายเป็นรูปร่างคล้ายปราสาททรายสูง 5–10 ชั้น ที่เราเรียกว่า Yardangs หรือ Sand Castles

พื้นที่ลักษณะนี้คือ “The Kaluts” หนึ่งในแลนด์มาร์กธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของอิหร่าน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมือง Kerman ใกล้เมือง Shadad Kaluts คือชื่อเรียกเฉพาะของเขาหินรูปทรงประหลาดเหล่านี้ซึ่งเรียงรายกันอย่างอลังการราวกับเป็นเมืองลึกลับที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นตลอดหลายพันปีจากแรงลมและการกัดเซาะของฝน
แม้วันนั้นท้องฟ้าจะไม่เปิด แสงแดดถูกบดบังด้วยเมฆ ทำให้เฉดสีของทรายแดงดูหม่นไปบ้าง แต่ความงามของธรรมชาติยังชวนให้ตะลึง ร่องรอยสีขาวที่เห็นจากระยะไกลคล้ายแอ่งน้ำ แต่คุณ Iraj อธิบายว่านั่นคือคราบเกลือที่ตกผลึกจากน้ำฝนที่ซึมลงพื้นอย่างรวดเร็วแล้วระเหยไป
แม่น้ำในทะเลทราย: Shur River
เส้นทางที่เรานั่งรถผ่านยังตัดข้ามแม่น้ำสายเล็กชื่อว่า Shur River แม่น้ำแห่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของทะเลทราย เนื่องจากเป็นแม่น้ำที่มีความเค็มสูงมากจากการไหลผ่านแหล่งดินหินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เมื่อถึงฤดูร้อน น้ำจะระเหยจนเห็นคราบเกลือเป็นลวดลายบนพื้นดินอย่างชัดเจน สะพาน Rud-e Shur Bridge ที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำนี้ เป็นอีกหนึ่งมุมที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะถ่ายภาพ เพราะสามารถมองเห็นแม่น้ำและแนวหินรอบ ๆ ได้อย่างชัดเจน



ความหมายของคำว่า “ทะเลทราย”
ก่อนเดินทาง ฉันเคยคิดว่าทะเลทรายคือพื้นที่ที่มีแต่ทรายสีทองสุดลูกหูลูกตา มีอูฐเดินเรียงแถว และภูเขาทรายที่ลมพัดพริ้ว แต่เมื่อได้เดินทางมากขึ้น ได้เห็นทั้งทะเลทรายในอินเดีย โมรอคโค อียิปต์ และจอร์แดน ฉันเริ่มเข้าใจว่าทะเลทรายไม่ได้มีเพียงรูปลักษณ์เดียว

“Desert” ในความหมายทางภูมิศาสตร์คือพื้นที่ที่มีฝนตกน้อยกว่าปกติ แห้งแล้งจนสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ยาก อาจเป็นผืนทราย เนินกรวด หรือหินแห้ง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้เลยก็ได้ Dasht-e Lut คือหนึ่งในทะเลทรายที่ยิ่งใหญ่และหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เพราะนอกจากภูมิประเทศอันแปลกตาแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่เกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกที่เคยเป็นทะเลมาก่อน ร่องรอยของความเค็มและการเปลี่ยนแปลงของโลกยังปรากฏอยู่บนพื้นดิน
แม้จะดูโหดร้าย แต่ธรรมชาติก็ยังหลงเหลือความหวังเล็ก ๆ ไว้ในรูปแบบของแหล่งน้ำใต้ดิน โอเอซิส และทรัพยากรธรรมชาติที่กลายเป็นขุมพลังของภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างแท้จริง







Leave a Reply