เย็นนั้น ฉันออกเดินทางจากสนามบินตรงสู่เมือง Punta Arenas — เมืองปลายฟ้าแห่งแดนใต้ของชิลี ที่ได้รับสมญาว่าเป็น “ประตูสู่ปาตาโกเนีย” และเป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ใต้สุดของโลก ตั้งอยู่ริมช่องแคบมาเจลลัน (Strait of Magellan) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเส้นทางเดินเรือหลักก่อนจะมีคลองปานามา ชื่อเมืองแปลตรงตัวได้ว่า “แหลมทราย” ซึ่งช่างเข้ากับลมแรงและบรรยากาศอันเวิ้งว้างของที่นี่เสียเหลือเกิน
เมื่อมาถึง Punta Arenas ถ้าใครจะเข้าเมือง มีสองทางเลือก — แท็กซี่ราคาอยู่ที่ประมาณ 10,000 CLP หรือจะประหยัดหน่อยนั่ง transfer van คนละ 5,000 CLP ก็ได้ แต่ถ้าใครตั้งใจจะไป Puerto Natales เลย ไม่จำเป็นต้องแวะเข้าเมือง สามารถขึ้นรถต่อจากสนามบินได้โดยตรงเลย สะดวกดีมาก
แม้เมืองนี้จะเป็นเพียงจุดพักระหว่างทางสำหรับนักเดินทางจำนวนมาก แต่จริง ๆ แล้ว Punta Arenas ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวไม่น้อย — ทั้งบ้านเรือนสีสดแบบยุโรปสมัยเก่า มรดกจากยุคที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และกลิ่นอายของการเป็นเมืองท่าเก่าแก่ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการเดินทางสู่แอนตาร์กติกา
คืนนี้ฉันพักที่เกสต์เฮ้าส์เล็ก ๆ ชื่อว่า Samarce House – บ้านพักของฟรานเชสโกและครอบครัวที่อบอุ่นมาก ๆ พวกเขาตื่นเต้นที่ได้เจอคนไทย และให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ห้องน้ำสะอาด อาหารเช้าดี มีขนมปังกับแฮม เสิร์ฟพร้อมซอสมะเขือเทศผสมน้ำมันมะกอก รสชาติแปลกแต่ลงตัว…ข้อเสียมีอยู่เรื่องเดียว — ที่นอนคันมากจนต้องเอา liner มาสวมแทนผ้าห่ม 😅
เย็นวันนั้น หลังวางกระเป๋าและพักหายใจที่ Samarce House ได้สักพัก ฟรานเชสโก เจ้าของที่พักใจดี แนะนำร้านอาหารที่เขาชอบ บอกว่า “เดินไกลหน่อย แต่คุ้มแน่นอน” — ร้านนั้นชื่อว่า La Luna ชื่อเรียบง่ายแต่ชวนให้นึกถึงอะไรอบอุ่น ๆ และโรแมนติกหน่อย ๆ ท่ามกลางลมหนาวของเมืองปลายฟ้า
ฉันเลยออกเดินไปตามคำแนะนำ ข้ามถนน ลัดตรอก ผ่านตึกเก่าและบ้านไม้สีพาสเทลที่ดูเหมือนหยุดเวลาไว้ในยุคใดยุคหนึ่งของยุโรป อาคารหลายหลังทาสีสด บ้างมีลูกไม้ที่ขอบหน้าต่าง บ้างมีผนังซีดแดดดูเหมือนเล่าประวัติศาสตร์ผ่านสีลอก ๆ ของมัน
Punta Arenas เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในแบบที่เงียบงัน มีชีวิต แต่ไม่เร่งรีบ ร้านค้าปิดเร็ว เด็กวัยรุ่นนั่งรวมกลุ่มกันริมจัตุรัส Plaza Muñoz Gamero ที่อยู่ไม่ไกล มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ และอนุสาวรีย์ Ferdinand Magellan ตั้งตระหง่านกลางจัตุรัส — นักสำรวจชาวโปรตุเกสผู้มีชื่อเกี่ยวพันกับช่องแคบและดินแดนนี้มายาวนาน


ระหว่างทาง ฉันผ่านโบสถ์เก่า ร้านหนังสือมือสอง และร้านกาแฟที่ปิดประตูลงแล้วในยามเย็น ลมยังคงพัดแรงจนต้องกระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้นอีกนิด เดินไปเรื่อย ๆ พร้อมกลิ่นไอทะเลจาง ๆ ที่พัดมาจากช่องแคบมาเจลลัน จนในที่สุดก็ถึงร้าน La Luna — ร้านที่อยู่ตรงหัวมุมถนนซึ่งไฟสีอุ่นส่องลอดกระจกออกมาอย่างน่าดึงดูด
ภายในร้านตกแต่งแบบโคซี่ ๆ มีโคมไฟแขวนเพดาน โต๊ะไม้เก่า ๆ กับผนังที่เต็มไปด้วยของตกแต่งวินเทจ — เหมือนเป็นการผสมผสานระหว่างความขรึมของเมืองท่า กับความอบอุ่นของบ้านริมทะเล อาหารไม่ผิดหวังตามคำแนะนำ — โดยเฉพาะขนมปังที่กินคู่กับซอสมะเขือเทศผสมน้ำมันมะกอกอย่างง่าย ๆ แต่มีเสน่ห์เหลือเกิน
เพื่อนร่วมห้องชาวเยอรมัน แนะนำให้ไปดูเพนกวินที่นี่ เพราะเป็นจุดชมเพนกวินชื่อดังของภูมิภาคนี้เลย โดยเฉพาะ Isla Magdalena — เกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากฝั่งราวชั่วโมงครึ่ง เป็นที่อยู่อาศัยของ แม็กเจลแลนิกเพนกวิน นับหมื่นตัว ที่มาที่นี่ทุกปีในฤดูผสมพันธุ์ เสียดายที่ฉันไม่มีเวลา คงต้องเก็บไว้ดูที่ Ushuaia ปลายทางแทน



เช้าวันต่อมา ฉันขึ้นรถบัสเที่ยว 10:15 น. มุ่งหน้า Puerto Natales ราคาค่าโดยสาร 8,000 CLP รถใหญ่ นั่งสบาย มีระบบจัดการดีเยี่ยม เข็มขัดนิรภัยครบ และมีระบบควบคุมความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ความปลอดภัยมาเต็ม ระหว่างทางเต็มไปด้วย ทุ่งหญ้าสเตปป์ กว้างสุดลูกหูลูกตา สลับกับฟาร์มปศุสัตว์ และทิวเขาที่ค่อย ๆ โผล่ไกล ๆ ลมแรงจนเห็นต้นไม้เอียงตามแรงลม

ที่พักคืนนี้ในเมือง Puerto Natales คือ We Are Patagonia Backpacker ห้องพักรวมที่มีที่นอนใหญ่นุ่มสะอาด และดูทันสมัย พร้อมมีครัวให้ใช้ด้วย







Leave a Reply