เช้านี้ อากาศยังสดใส ฟ้าเปิดแบบที่อยากจะหยุดทุกอย่างไว้แค่ตรงนี้ ความรู้สึกแบบนี้หาได้ไม่บ่อยในไอซ์แลนด์ตอนเหนือ โดยเฉพาะเมื่อพยากรณ์อากาศบอกเราว่าวันพรุ่งนี้จะกลับเข้าสู่ความมืดหม่นอีกครั้ง ฉันจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนทันที—ยกเลิกโปรแกรมเที่ยวรอบทะเลสาบ Mývatn แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ริมอ่าวชื่อว่า Húsavík เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งการชมปลาวาฬของยุโรป”

เราขึ้นเรือลำหนึ่งออกสู่ท้องทะเลที่เงียบสงบ ท่ามกลางอากาศที่เย็นแต่ไม่ถึงกับหนาวจัด การเดินทาง 3 ชั่วโมงกลางทะเลเปิดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ตรงกันข้าม กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์ครั้งแรก
ปลาวาฬตัวแรกปรากฏขึ้นพร้อมเสียงร้องของผู้โดยสารทั้งลำ มีทั้งแบบว่ายมาเดี่ยว ว่ายมาเป็นคู่ แม้จะไม่ได้เห็นการกระโดดอวดโฉมกลางอากาศอย่างที่แอบหวัง (แอบนึกในใจว่าสักตัวกระโดดข้ามหัวให้ได้ตื่นเต้นหน่อยเถอะ 555) แต่การได้เห็นเงาสีเทาอมฟ้าเคลื่อนไหวอย่างสง่างามผ่านผิวน้ำก็เพียงพอจะทำให้หัวใจเต้นแรง ประสบการณ์ครั้งแรกกับปลาวาฬของฉันจึงกลายเป็นความทรงจำอีกชิ้นที่อบอุ่นอย่างน่าแปลกใจ

เรากลับขึ้นฝั่ง แล้วมุ่งหน้าไปยัง Goðafoss หรือที่แปลได้ว่า “น้ำตกของพระเจ้า” ตามตำนานที่เล่าว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านศาสนาของไอซ์แลนด์ นักบวชคนหนึ่งได้โยนรูปเคารพเทพเจ้านอร์สมายังน้ำตกแห่งนี้ เพื่อประกาศการเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนา
แต่ฉันกลับรู้สึกเฉยๆ กับ Goðafoss อาจเป็นเพราะเราผ่านน้ำตกมานับไม่ถ้วนในช่วงหลายวันมานี้ จนความอลังการกลายเป็นสิ่งคุ้นตา หรือเพราะการเข้าถึงที่ง่ายเกินไป เพียงจอดรถก็เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ทำให้เสน่ห์ของการ “ค้นพบ” หายไป ต่างจาก Dettifoss เมื่อวาน ที่ต้องฝ่าถนนลูกรังและลมแรงขึ้นเขาไปยังจุดชมวิว สายน้ำที่ไหลกระแทกเบื้องล่างอย่างบ้าคลั่งยังคงสะท้อนในใจ เสียงคำรามของมันยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ

แม้เวลาจะล่วงไปจนเย็นมากแล้ว แต่เรายังไม่หมดแรงฝัน เราขับย้อนกลับเส้นทางเดิมอีกราว 60 กิโลเมตร เพื่อกลับไปยัง Hverfjall ปากปล่องภูเขาไฟที่เราผ่านมาเมื่อวาน คราวนี้เราตั้งใจจะขึ้นไปยืนบนขอบปากปล่องให้ได้
การเดินขึ้นไปค่อนข้างชันและต้องออกแรงพอสมควร แต่เมื่อได้ยืนอยู่บนนั้น มองลงไปเห็นรูปทรงกลมเกือบสมบูรณ์แบบของปล่องภูเขาไฟ มองออกไปไกลสุดสายตาเห็นทะเลสาบ Mývatn ในแสงอาทิตย์อ่อนท้ายวัน—ก็รู้ทันทีว่ามันคุ้มแล้วกับการย้อนกลับมา
วันนี้เป็นอีกวันที่ธรรมชาติไอซ์แลนด์พาใจเราไหลไปตามแรงลม พาให้มองเห็นบางสิ่งที่ใหญ่เกินกว่าความคาดหวัง และบางสิ่งที่เล็กกว่าความทรงจำ แต่นั่นแหละ—มันคือความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกก้าวของการเดินทาง







Leave a Reply