เช้านี้เราเริ่มต้นวันด้วยความรู้สึกเหมือนถูกท้าทายจากธรรมชาติเต็มรูปแบบ — ลมแรง ฝนกระหน่ำ ขับรถไปก็เหมือนพาตัวเองเข้าไปในม่านหมอกที่มองอะไรแทบไม่เห็น อากาศในไอซ์แลนด์นี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยจริง ๆ บางทีฟ้าโปร่งสดใสได้ไม่ถึงสิบนาที ก็มืดครึ้มและมีฝนถล่มลงมาแบบไม่ให้ตั้งตัว
เรามุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Seyðisfjörður เมืองชายฝั่งที่ซ่อนตัวอยู่ในฟยอร์ดทางตะวันออกของประเทศ ท่ามกลางหุบเขาสูงและแม่น้ำที่ไหลคดเคี้ยว ภาพเมืองน่ารัก ๆ ที่เราวาดไว้ในใจกลับต้องเผชิญกับฝนเทกระหน่ำชนิดที่เราทำได้แค่วิ่งลงจากรถไปถ่ายรูปพอเป็นพิธี แล้วรีบกระโจนกลับเข้ามาในความอุ่นของรถอย่างรวดเร็ว


แต่เส้นทางวันนี้ยังอีกยาวไกล จุดหมายของเราคือ Dettifoss — น้ำตกที่ขึ้นชื่อว่า “ทรงพลังที่สุดในยุโรป” ด้วยปริมาณน้ำมหาศาลที่ไหลถาโถมลงมาจากความสูงเกือบ 45 เมตร เสียงคำรามของน้ำตกที่ได้ยินจากระยะไกลราวกับคำทักทายจากยักษ์ใหญ่ในหุบเขา
ฝนยังไม่หยุด ลมก็ยังแรงเหมือนเดิม ถึงขั้นที่เวลาจะเปิดประตูห้องน้ำริมทาง ยังต้องช่วยกันจับประตูไม่ให้ปลิว เวลาเดินลงไปใกล้น้ำตกก็รู้สึกเหมือนตัวจะปลิวตามลมไปด้วย แต่ก็อย่างที่ใครหลายคนบอกไว้ว่า “ถ้ามาไอซ์แลนด์ ต้องเตรียมใจให้พร้อมรับทุกฤดูกาลในหนึ่งวัน” ซึ่งมันก็จริงไม่ผิดเพี้ยน
ตอนแรกเราคิดว่าจะลงไปถ่ายรูปแค่แป๊บเดียวแล้วรีบกลับ เพราะอากาศไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย แต่เหมือนฟ้ายังเมตตา — พอลงไปถึงด้านล่าง ท้องฟ้ากลับเปิด แดดออก ลมซากไปชั่วครู่ ทำให้เราได้ยืนชมความยิ่งใหญ่ของ Dettifoss แบบเต็มตา รู้สึกได้ถึงพลังของธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์ตัวเล็กลงไปถนัดตา
หลังจากเก็บภาพและความประทับใจจากน้ำตกไว้ในหัวใจแล้ว เรายังมีภารกิจสุดท้ายของวัน คือขับรถต่อไปยัง Akureyri เมืองใหญ่อันดับสองของไอซ์แลนด์ที่อยู่ทางตอนเหนือ ใช้เวลาอีกกว่า 170 กิโลเมตรบนถนนที่คดเคี้ยวผ่านภูเขาและทุ่งลาวา
แต่เมื่อไปถึงที่พัก ทุกความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง — บ้านพักสุดหรู วิวภูเขาและฟยอร์ดที่สวยเกินบรรยาย จนพวกเรากรี๊ดกันเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้น รู้สึกเหมือนของขวัญจากการเดินทางอันยาวไกล ได้ตอบแทนเราด้วยค่ำคืนที่แสนอบอุ่น








Leave a Reply