เรามาถึงเมือง Vik ท่ามกลางลมแรงและสายฝนที่โปรยปรายไม่ขาดเม็ด เมืองเล็กๆ แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางภูเขาและทะเลทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ เป็นเหมือนจุดพักใจของนักเดินทางที่มุ่งหน้าสู่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ แม้อากาศจะไม่เป็นใจในวันแรก แต่เช้าวันต่อมากลับสดใสจนน่าแปลกใจ ท้องฟ้าเปิด เผยให้เห็นเส้นขอบฟ้าสีฟ้าอ่อนที่ตัดกับทะเลและชายหาดสีดำสนิท

ที่ ชายหาด Reynisfjara ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง เราได้เห็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติบรรจงสลักไว้ — แท่งหินบะซอลต์หกเหลี่ยมเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบราวกับใครมาแกะสลักไว้ล่วงหน้า ถ้ำที่โค้งเว้าลึกเข้าไปในผนังหิน และหินรูปร่างประหลาดที่ถูกคลื่นลมขัดเกลามานับพันปี โดยเฉพาะกลุ่มแท่งหินทะมึนในทะเลที่เรียกว่า Reynisdrangar ตามตำนานของชาวไอซ์แลนด์เล่าว่า มันคือโทรลที่ถูกแสงอาทิตย์แช่แข็งไว้ในยามรุ่งอรุณ
วิวตรงนี้ทั้งสวยและขลังในเวลาเดียวกัน คลื่นแรงจนต้องระวังทุกฝีก้าว แต่ก็ทำให้เราเห็นพลังของธรรมชาติได้อย่างชัดเจน

ระหว่างทางไป น้ำตก Svartifoss เราแวะถ่ายรูปที่ทุ่งมอสกว้างใหญ่ไพศาล มอสเขียวปกคลุมลาวาเก่าแก่เป็นลอนคลื่นทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ราวกับเดินอยู่บนผ้าห่มธรรมชาติผืนใหญ่ ที่นี่เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบหญ้า เหมือนเวลาชะลอตัวลงเพื่อให้เราได้ดื่มด่ำกับทุกวินาที


สุดท้ายของวัน เราไปเยือน ธารน้ำแข็ง Svinafellsjökull ส่วนหนึ่งของ Vatnajökull ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ที่นี่คือภาพที่สลับซับซ้อนของสีขาวน้ำแข็ง แซมด้วยเส้นรอยแตกสีน้ำเงินเข้ม มีเสียงน้ำแข็งแตกร้าวเบาๆ เป็นจังหวะ…เหมือนเสียงหายใจของธารน้ำแข็งที่มีชีวิต








Leave a Reply