Nim Journey

A Legend of Travel

Pole Pole to Mt.Kibo [Roof of Africa]
Posted in , ,

ห้าทุ่ม เสียงปลุกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เราถูกปลุกให้ตื่นเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในเวลาราวเที่ยงคืน เสียงของลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเต็นท์เป็นสัญญาณเตือนว่าการเดินทางอันท้าทายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

“Pole Pole” ไกด์และลูกหาบคอยส่งเสียงเตือนข้างๆ ให้ก้าวเดินช้าๆ ทีละก้าว ในความมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์และแสงไฟเล็กๆ บนศีรษะช่วยนำทาง เราเดินไปข้างหน้า เงยหน้ามองปลายทางที่สูงลิบ มืดมิด และห่างไกล ความสูงชันเป็นอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่า เสียงหายใจของผู้ร่วมทางแต่ละคนดังเป็นระยะ บางคนกระซิบให้กำลังใจกัน บางคนเงียบงัน ใช้สมาธิอยู่กับการก้าวเท้าอย่างมั่นคง

ใจที่มุ่งมั่นแทบจะถูกทำลาย เมื่อรู้สึกว่าจุดหมายปลายทางนั้นไกลเหลือเกิน ขาเริ่มอ่อนล้า อาการปวดศีรษะเริ่มมาเยือน ท้องไส้ปั่นป่วน ไม่ว่าจะหนักหรือเบาต่างก็บีบคั้นให้ต้องจัดการ บททดสอบที่หนักที่สุดกลับเป็นอาการง่วงงุน เดินไปหาวไป จนบางช่วงคล้ายเดินหลับใน เผลอแป๊บเดียวก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว…

ฉันอดคิดไม่ได้ว่า—ฉันมาทำอะไรที่นี่? ทำไมต้องทรมานตัวเองแบบนี้? อยากจะโยนไม้เท้าทิ้ง บอกทุกคนว่า…ไม่ไปต่อแล้ว! กลับไปนอนรอที่เต็นท์ดีกว่า และสัญญากับตัวเองว่า ทีหลังจะไม่มาหาเรื่องแบบนี้อีก!

แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไป ด้วยใจที่ยังไม่ยอมแพ้ ฉันยังมุ่งมั่น พาตัวเองปีนป่าย ฝ่าลมฝน พายุหิมะ อุณหภูมิติดลบ และสายลมแรง

ในเงาทะมึนฝั่งตรงข้าม ยอดเขามาเวนซี (Mawenzi) ตั้งตระหง่านเคียงคู่กับคิโบเสมอ หากมีแสงเพียงพอ เราจะเห็นรายละเอียดของมันชัดขึ้น ภูมิทัศน์แข็งแกร่ง คมกริบ เสน่ห์ของมันดึงดูดนักปีนเขาไม่แพ้ยอดที่เรากำลังมุ่งไป แม้มันจะต่ำกว่า แต่ก็ไม่ได้ง่ายนัก…ฉันปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามทาง แต่ก็รู้ดีว่ายอดนั้นไม่ได้อยู่ในแผนของฉัน

แล้วทำไมเราต้องรีบเดินในช่วงเช้ามืดเช่นนี้? ฉันบ่นบ้าง ชื่นชมบ้าง เพื่อให้ลืมความเมื่อยล้าของร่างกาย เสียงลมที่พัดแรงเหมือนจะบอกให้ฉันรวบรวมพลังใจให้มากขึ้น ฉันก้มหน้าก้มตาเดินต่อ

แสงแรกของวันและก้าวต่อไป

หกชั่วโมงผ่านไป แสงอาทิตย์เริ่มเผยตัวผ่านม่านหมอก ฉันหันไปมอง พระอาทิตย์กลมโตค่อยๆ สาดแสงอ่อนโยนลงมา เปิดให้เห็นโลกรอบตัวได้ชัดขึ้น ฉันเดินต่อไป สู่จุดหมายที่รออยู่เบื้องหน้า รู้สึกได้ว่าพลังใจกลับมาอีกครั้ง

และแล้ว ฉันก็มาหยุดยืนที่ Gilman’ s Point – 5,685 เมตร ฉันมองไปรอบๆ เห็นเพื่อนร่วมทางหลายคนที่ถึงก่อนแล้ว พวกเขาต่างนั่งพัก สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อเตรียมตัวไปต่อ

เอ๊ะ…มันควรจะเป็น 5,800 กว่านี่นา? ริชาร์ด ลูกหาบส่วนตัวที่เหมือนจะรู้ใจ ไม่ปล่อยให้ฉันสงสัยนาน เขาเดินมาข้างๆ แล้วบอกว่า “ไปต่อ Stella Point ข้างหน้า”

หิมะเริ่มตกหนักขึ้น ระหว่างทางเต็มไปด้วยสันเขาและริมหน้าผา เราต้องเดินอย่างระมัดระวัง ก้าวพลาดคือลื่นตกเขาได้ ฉันต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัว ขณะที่พายุหิมะพัดเข้ามาอย่างไม่ลดละ

ขึ้นมาถึงจุดนี้ ฉันกลับเริ่มมีแรง อาจเป็นเพราะรู้ว่าเหลืออีกเพียงนิดเดียว อาการง่วง ปวดศีรษะค่อยๆ จางหาย เหลือเพียงความเมื่อยล้าและความหนาวเหน็บ โดยเฉพาะลมแรงที่พัดปะทะใบหน้า จนน้ำมูกไหลเป็นทาง

เดินไปอีกชั่วโมง ฉันเห็นป้ายอยู่ข้างหน้า “Stella Point ใช่ไหม?” ฉันถามไกด์ แล้วต่อทันที “แล้ว Uhuru ล่ะ?” ในใจหวังว่าคงไม่ไกลกันนัก

“เดินไปอีก 45 นาที”

“ห๊าาาา!?” ฉันอุทานในใจ แม้จะเคยได้ยินมาก่อน แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับไม่อยากรับรู้เลยว่ามันไกลขนาดนี้

ฉันออกเดินต่อทันที ไม่อยากนั่งพัก ไม่อยากยืดเยื้อ อยากให้ความทรมานนี้จบลงโดยเร็ว

เพื่อนบางคนแทบจะถอดใจที่จุดนี้ ฉันหันไปบอกพวกเขา “อีกป้ายเดียวเอง มาถึงแล้ว กลับไม่ได้หรอก!”

เอ่อ แล้วมันจะมี Stella Point ไว้ทำไมวะ 

สู่จุดหมายสุดท้าย – Uhuru Peak

40 กว่านาทีของการเดินท่ามกลางความหนาวเย็น ลมแรง หิมะตก บอกได้ว่าทรมาน

“Pole Pole” ริชาร์ด ยังคงคอยเตือนเป็นระยะ เมื่อเห็นฉันเร่งเดินเร็ว แซงหน้ากลุ่มฝรั่งที่เดินนำหน้า ที่จริงไม่ต้องเตือน เดี๋ยวฉันก็ต้องช้าไปเองอยู่แล้ว พอเร่งเดินเร็วได้นิดหน่อย ฉันก็เหนื่อย หายใจหอบแฮ่กๆ ต้องหยุดพักอยู่ดี

ฉันพยายามเดินช้าช้า เป็นจังหวะ ในขณะที่ใจและสายตา คอยชะเง้อมองหาป้ายสุดท้ายทุกเหลี่ยมมุมเขา ทุกสันเขาที่โผล่เข้ามาในสายตาเป็นระยะท่ามกลางหมอกฝ้าและพื้นสีขาวโพลนข้างหน้า

ยิ่งเต็มไปด้วยความคาดหวัง ยิ่งผิดหวัง ยิ่งเหนื่อย ยิ่งล้า แต่ก็ต้องไป เพราะในเวลานี้มีทางเลือกเดียวคือ …ไปให้ถึง…

ฉันเริ่มเห็นคนเดินสวนกลับมา จะอีกไกลมั๊ยนะ ไม่มีใครพูดอะไรเลย แต่ละคนหน้าตาเคร่งเครียดกันมาก ไม่มีกำลังใจให้กันเลย สงสัยจะอีกไกล ฉันไม่อยากจะหันไปถามไกด์ กลัวเค้าบอกว่าไกล เพราะบางทีความไม่รู้ มันทำให้เรามีความหวังมากกว่า

ฉันเดินต่อไป ต่อไป… เวลาช่างเนิ่นนานเหลือเกิน จนกระทั่งเห็นป๋าคมรัตน์ ผู้นำกลุ่มของเรา “ไป ไป อีก 10 นาที ไม่ไกลแล้ว” ป๋าเข้ามาตบไหล่ให้กำลังใจ

เย้ อีกนิดเดียว 10 นาที 

ฉันเริ่มสวนกับเพื่อนๆในกลุ่มแรกที่ออกเดินไปก่อน ทีละคน ทีละคน และในที่สุด ก็มองเห็นป้ายอยู่ข้างหน้าโน่น ทางซ้ายมือของฉันเป็นกลาเซียร์น้ำแข็งขนาดใหญ่โต มันสวยงามในม่านหมอกลมหิมะ ธารน้ำแข็งคิลิมานจาโรเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันหมายมั่นมาเห็นด้วยตาตัวเอง นอกเหนือจากป้ายไม้ที่สูงที่สุดในแอฟริกา

ฉันดีใจที่ไม่ถอดใจ ตัดสินใจเดินต่อมาจนได้เห็นของจริง แม้จะไม่สวยเหมือนรูปงดงามกระจ่างชัด ด้วยเพราะม่านหมอกเช้านี้หนาทึบบดบัง มองเห็นเป็นลางๆ แต่ความอิ่มเอมใจ กับภาพตรงหน้ารวมกับพลังใจ และแรงฮึดของตัวเองที่ฉันไม่หยุดเดิน จนมาถึงจุดหมายปลายทางที่นี่ คือความภูมิใจ ยินดี ทุกอย่างทำให้ภาพตรงหน้าของฉัน สวยที่สุด ดีที่สุด แล้วฉันก็เชื่อว่ามันจะสวยขึ้นทุกครั้งที่นึกถึง

ฉันยืนมองให้เต็มตา ตั้งใจจะไม่ถ่ายภาพไว้ อยากเก็บเป็นภาพประทับใจในความทรงจำส่วนตัว แต่ความจริงคือ มันหยิบกล้องยาก! เหตุที่ต้องถอดถุงมือ เผชิญกับความเย็น ล้วงควัก เอามากด หยุดยืนมองครู่ใหญ่ จากนั้นก็เดินต่อไปที่ป้ายข้างหน้า

ป้าย Uhuru บอกว่าที่นี่คือจุดที่สูงที่สุด 5,895ม. จุดหมายยอดสูงสุดแห่งทวีปแอฟริกา 1ใน 7 summits ของโลกที่หลายคนอยากมาสัมผัส เมื่อได้ยืนตรงจุดนี้ มันคือยอดสูงเหนือใครที่ฉันมองเห็นจากหน้าต่างเครื่องบินในวันที่มาถึง Kilimanjaro ยอดเขาสูงเหนือกลุ่มเมฆที่เหมือนลอยอยู่บนฟ้านั่น

ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

ฉันใช้เวลาบริเวณนี้ไม่เกิน 5 นาที เหมือนที่หลายๆ คนพูด ถ้านับรวม 3 วันก่อนที่เดินกว่า 12 ชั่วโมงมาที่เบสแค้มป์ วันนี้เดินเกือบ 8 ชั่วโมงต่อเนื่องตั้งแต่เที่ยงคืน ฝ่าลมหนาวเย็น ความสูงของเทือกเขารวมเวลา 20 ชั่วโมง เพียงเพื่อเวลาอันน้อยนิดบนยอดสูงปลายทาง แล้วก็จากไป

ตรงจุดสูงสุดยอดเหนือเมฆและขุนเขา มันก็เป็นเพียงเท่านั้น

แต่จากนั้นฉันพกความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ ความไม่ยอมแพ้ การเอาชนะจิตใจที่ท้อแท้ สิ้นหวัง ขี้เกียจ ใจร้อน ความเมื่อยล้า และอาการง่วงเหงาหาวนอนในช่วงแรกของการเดิน ประสบการณ์การเดินเขาที่ผ่านๆ มาทำให้ฉันมีการเตรียมพร้อม เตรียมตัวที่ดี

ขากลับอากาศแจ่มใสขึ้นบ้าง แม้ยังมีหิมะที่ตกลงมา แต่สายตามันแจ่มชัดขึ้น เพราะใจที่สุขล้น เพื่อนๆ ในกลุ่มเริ่มทะยอยเดินสวนขึ้นมา ทุกคน น่าดีใจที่สุด เราจะได้กลับไปฉลองด้วยกัน ต่างคน ก็ต่างมีตำนาน เรื่องราวในใจที่ฝ่าฟันอันภาคภูมิใจของตนเอง ในการไปแตะขอบฟ้าครั้งนี้ มาเล่าสู่กันฟัง

เวลาสายๆ 11โมงกว่า ฉันก็กลับมานอนแผ่ในเต้นท์ พักเก็บของได้แป็บเดียว ก็ต้องออกเดินต่ออีก 9 กม ไป Horombo Hut ใช้เวลาประมาณ 5 ชม.

วันนี้เป็นวันที่ฉันเดินมากที่สุดในชีวิต 

……

ภาระกิจพิชิตยอดสูงสุดแห่งแอฟริกา Mt. Kilimanjaro Tanzania สำเร็จลุล่วงดังที่ตั้งใจ

Pole Pole ฉันชอบจังหวะก้าวเดินช้าๆ ไปเรื่อยๆ ของไกด์ที่นำทาง ไม่เร่งรีบแต่หนักแน่น ลมหายใจ ดูจะสอดคล้องกันดีกับก้าวเดินเล็กๆ ใจก็เย็นลงเมื่อเราไม่มองจุดหมายไกลตา แต่ใส่ใจเพียงแค่ทางข้างหน้าในสายตาใกล้ๆ เมื่อเหนื่อยก็พัก แต่อย่าพักนาน จนลืมปลายทาง ปลายทางอยู่ข้างหน้า ไกลแค่ไหน ก็ไปถึง

– ที่นี่สอนฉันแบบนี้เอง

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.