หลังจากใช้ชีวิตชิลๆ มาหลายวัน ก็ถึงเวลาคว้าเป้ใบใหญ่ ออกเดินทางสู่ธรรมชาติ เพื่อสัมผัสความงดงามของทะเลสาบไบคาล ที่มีน้ำใสเป็นประกายสีน้ำเงินเข้ม
การเดินทางไปเกาะ Olkhon
ฉันติดต่อที่พักและสอบถามการเดินทาง โดยเลือกจองรถรับ-ส่งและที่พักไว้ล่วงหน้า การเดินทางไปเกาะสามารถเลือกได้ตามสะดวก ค่ารถโดยสารไป-กลับอยู่ที่ 1,600 รูเบิล (เที่ยวละ 800 รูเบิล) หากต้องการอยู่หลายวัน ก็สามารถนัดวันให้รถมารับ หรือเลือกซื้อตั๋วไปขาเดียว แล้วค่อยติดต่อหารถขากลับจากที่พักก็ได้
ที่พักมีค่าใช้จ่ายคืนละ 1,000 รูเบิล รวมอาหารเช้าและเย็น ฉันเลือกพัก 2 คืน เพราะระยะทางค่อนข้างไกล หากไปเพียงวันเดียวคงไม่คุ้มค่า รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 3,600 รูเบิล โดยต้องจ่ายค่ามัดจำตอนจองครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งจ่ายเมื่อไปถึงที่พัก
เดินทางสู่เกาะ Olkhon
เช้าวันเดินทาง รถตู้แวนรัสเซียสภาพดีมารับตั้งแต่ 8 โมงเช้า คนขับไปรับผู้โดยสารตามจุดต่างๆ ทั้งโรงแรมหรู โฮสเทล และตลาดใจกลางเมือง รวมกันราว 10-12 คน จากนั้นจึงออกเดินทาง ใช้เวลาราว 6 ชั่วโมง รวมเวลาหยุดพักรับประทานอาหารระหว่างทาง
ร้านอาหารที่แวะพักเต็มไปด้วยเมนูภาษารัสเซีย ทำให้ฉันยืนต่อคิวด้วยความงุนงง มองดูอาหารบนโต๊ะของคนอื่นก็ไม่ได้ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นเลย สุดท้ายจึงเลือกซื้อแซนวิชสองชิ้นมากินรองท้องระหว่างทาง
สิ่งที่ทำให้ฉันแปลกใจระหว่างที่ยืนต่อคิว คือมีคนเข้ามาพูดคุยกับฉันเป็นภาษารัสเซีย ดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจว่าฉันเป็นคนท้องถิ่น ทีแรกฉันแปลกใจ เพราะคิดว่าหน้าตาเอเชียของฉันน่าจะทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นนักท่องเที่ยว แต่เมื่อมองไปรอบๆ ฉันกลับพบว่ามีผู้คนอีกมากมายที่หน้าตาคล้ายฉันและพูดภาษารัสเซียกันเป็นปกติ จนมานึกขึ้นได้ว่า แถบนี้ของรัสเซียเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเอเชียที่มีลักษณะคล้ายชาวจีน และเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้
ระหว่างทาง ทิวทัศน์สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าสนที่เปลี่ยนเป็นสีทองในฤดูใบไม้ร่วง สลับกับทุ่งหญ้ากว้างสุดสายตา บางช่วงมีหิมะโปรยปรายเล็กน้อย หากมาช้ากว่านี้คงได้เห็นทิวทัศน์ขาวโพลนไปทั่ว
เมื่อถึงท่าเรือเฟอร์รี่ โชคดีที่เรือมาถึงพอดี ทำให้ไม่ต้องรอนาน แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มวัยรุ่นชาวรัสเซียท่าทางคล้ายยิปซีที่เดินทางมาด้วยกันจะไม่ค่อยถูกใจ พวกเขาวิ่งไปที่ทะเลสาบ ก้มลงตักน้ำขึ้นดื่มและทำท่าคล้ายสวดมนต์ริมฝั่งอย่างออกรสออกชาติ
เมื่อทุกคนพร้อม รถก็ถูกขับขึ้นเรือเฟอร์รี่ ข้ามไปยังเกาะ Olkhon ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบไบคาล
เกาะ Olkhon และชีวิตที่เปลี่ยนไป
เกาะ Olkhon เคยเป็นชุมชนชาวประมงมาก่อน มีโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำและท่าเรือคึกคัก แต่เมื่อการท่องเที่ยวเติบโตขึ้น วิถีชีวิตบนเกาะก็เปลี่ยนไป โรงงานหลายแห่งปิดตัวลง ผู้คนหันมาเปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์เพื่อต้อนรับนักเดินทาง ศูนย์กลางของเกาะอยู่ที่หมู่บ้าน Khuzhir ซึ่งเป็นที่ตั้งของเกสต์เฮาส์ราคาประหยัด นักเดินทางบางคนเลือกกางเต็นท์หรือขี่จักรยานเที่ยวรอบเกาะ
เมื่อมาถึง ฉันพบว่าจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องจองที่พักล่วงหน้าก็ได้ โดยเฉพาะบริเวณหมู่บ้าน Khuzhir ซึ่งมีบ้านพัก Nikita ที่เป็นศูนย์รวมของนักเดินทางแบกเป้ และสามารถติดต่อจองทัวร์ได้ที่นี่
ฉันพักที่บ้านของคุณป้า Olga ซึ่งก็มาตามที่ Dawson จัดการให้ แต่ชาล็อต ซึ่งมาในรถคันเดียวกับฉันบอกว่า เธอระบุเลือกพักที่นี่เพราะ Lonely Planet แนะนำว่าคุณป้า Olga ขึ้นชื่อเรื่องทำอาหารอร่อย แต่เธอพักแค่ 1 คืน ก่อนจะย้ายออกไปนอนแค้มป์กับหนุ่มฝรั่งเศสที่เพิ่งเจอกันบนรถเมื่อเช้านี้
ป้า Olga พูดภาษารัสเซีย เยอรมัน และฝรั่งเศสเล็กน้อย ทำให้การสื่อสารระหว่างเราค่อนข้างลำบาก ฉันจึงโล่งใจที่ได้จองที่พักล่วงหน้า ไม่ต้องยุ่งยากในการอธิบายอะไรเพิ่มเติม เพราะเช่นเคย พวกเขาไม่ได้ขอเอกสารใดๆ แค่บอกชื่อก็สามารถเดินสะพายเป้ตรงเข้าไปยังห้องพักได้
ที่พักเป็นบ้านของป้า Olga เอง โดยเธอได้ปรับพื้นที่บางส่วนให้เป็น Homestay หลังเล็กๆ อยู่ใกล้กัน บรรยากาศในบ้านแสนอบอุ่น มีสวนผักเล็กๆ อยู่ด้านหน้า เลี้ยงไก่ในคอก และมีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำรวมสำหรับแขก อีกด้านหนึ่งของบ้านเป็นโรงเก็บฟืนและโรงช่างไม้เล็กๆ ฉันเห็นคุณลุงรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับงานไม้หรือซ่อมแซมอะไรบางอย่าง บรรยากาศของที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง
สำรวจเกาะและวิถีชีวิตชาวไซบีเรีย
อาหารของ Olga อร่อยจนฉันแทบอยากกลับไปอีก โดยเฉพาะปลาโอมุลที่นำมาทำสเต็กสดใหม่ นอกจากนี้ ที่พักยังสามารถช่วยติดต่อรถนำเที่ยวรอบเกาะ ซึ่งมีสองเส้นทาง ฉันเลือกเส้นทางยอดนิยมที่ไปยังแหลม Khoboi ซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของเกาะ รวมถึงจุดชมวิวอื่นๆ อีกหลายแห่ง พร้อมอาหารกลางวัน ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 700 รูเบิล
ช่วงเย็นอากาศเย็นสบาย ฉันเลือกออกไปวิ่งชมวิวรอบๆ บนเกาะมีสัญลักษณ์ทางศาสนาและความเชื่อแบบพุทธทิเบต ทั้งเสามนต์ ผ้าผูกต้นไม้ และก้อนหินที่เรียงซ้อนกัน วิถีชีวิตบนเกาะสะท้อนถึงความหลากหลายของผู้คนในไซบีเรีย ตั้งแต่ชาวรัสเซียเชื้อสายยุโรปไปจนถึงกลุ่มชนเชื้อสายมองโกล ผู้คนเหล่านี้มีวัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนาที่แตกต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
ชมวิวแหลม Khoboi
เช้าวันที่สอง รถพานักท่องเที่ยวออกไปชมวิวตามจุดต่างๆ ฉันได้พบกับคนที่เดินทางมาด้วยกันเมื่อวานนี้ รวมถึงสองสาวชาวจีนที่ช่างพูด และคู่รักชาวเกาหลี หลายวันมานี้ฉันแทบไม่ได้พบเจอคนเอเชียเลย จึงรู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับพวกเขา
น้ำใสของทะเลสาบไบคาลช่างงดงาม ความกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาทำให้ฉันแทบไม่เชื่อว่านี่คือทะเลสาบ ไม่ใช่มหาสมุทร คนขับรถรับหน้าที่เป็นทั้งคนขับ ไกด์ และพ่อครัว แม้จะพูดได้เพียงภาษารัสเซีย แต่เขาก็รู้หน้าที่ดี ลงจากรถปุ๊บก็ชี้จุดให้ถ่ายรูปทันที
ทุกจุดที่เราแวะชมวิวและถ่ายรูป มีลมพัดแรงจนทำให้อากาศหนาวเย็นจนตัวสั่น ฉันนึกถึงคำพูดที่ได้ยินจากพยากรณ์อากาศเมืองไทยว่า “ลมหนาวจากไซบีเรีย” และตอนนี้ฉันเองก็ยืนอยู่ในต้นทางของลมหนาวนี้โดยตรง คงไม่แปลกที่ร่างกายจะสั่นสะท้านกับความเย็นยะเยือกของมัน
หลังจากใช้เวลาทั้งวันเดินทางและสำรวจสถานที่ต่างๆ ฉันกลับมาถึงที่พัก อาหารเย็นของ Olga ยังคงอร่อยเช่นเคย คืนนี้มีแขกใหม่เพิ่มมา เป็นคู่รักชาวฝรั่งเศส ดูเหมือนว่าตลอดทริปนี้ฉันจะได้พบแต่นักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศสอยู่ตลอด พวกเขาดูเหมือนจะสามารถท่องเที่ยวได้นานหลายเดือน ฉันสงสัยว่าคงเป็นเพราะสวัสดิการที่ดี หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาชอบใช้ชีวิตอย่างอิสระ
หากมีเวลาอีกวัน ฉันคงเลือกขี่จักรยานสำรวจเกาะเพิ่มเติม บนเกาะมีกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่ตั้งแคมป์ เทรคกิ้ง หรือเพียงแค่นั่งอ่านหนังสือชิลๆ บรรยากาศที่นี่ให้ความรู้สึกสงบ อิสระ และเป็นกันเองกับผู้คน







Leave a Reply