เสียงล้อเหล็กเสียดสีกับรางรถไฟเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้าสังเกตโลกภายนอกที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปช้าๆ ตามจังหวะการเดินทางของขบวนรถไฟ รถไฟสายนี้ไม่ได้พาฉันไปเพียงจุดหมายปลายทาง แต่มันกำลังพาฉันซึมซับเรื่องราวของผู้คน สถานที่ และวิถีชีวิตที่ฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อน
การพบกันครั้งแรก
สามวันมาแล้วที่ฉันนั่งๆ นอนๆ อยู่บนรถไฟ อาจเป็นเพราะฉันไม่ใช่คนกระตือรือร้นอะไรนัก จึงไม่ได้รู้สึกเบื่อหรือเหงาเกินไปกับการเดินทางที่ยาวนานแบบนี้ หลายคนอาจบ่นว่ามันเป็นการสูญเสียเวลา แต่มันกลับทำให้ฉันได้สัมผัสถึงความห่างไกลของแต่ละพื้นที่ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศอย่างช้าๆ และรู้สึกตื่นเต้นไปกับเส้นทางที่ฉันกำลังเดินทางผ่าน
จากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและรถยนต์ที่พลุกพล่าน สู่ย่านชนบทที่มีเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆ ผ่านทุ่งหญ้าเวิ้งว้างที่ทอดตัวไปไกลสุดสายตา แล้วกลับเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมที่มีโรงงานตั้งเรียงรายอยู่ริมรางรถไฟ
ภายในห้องโดยสาร ฉันเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมทางมากขึ้น
ลุงนิโคไล วัย 82 ปี ชายชราร่างผอมสูง สวมหมวกขนสัตว์หนาๆ เขาเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน ยิ้มบางๆ และตอบด้วยสำเนียงรัสเซียที่หนักแน่น “Nikolai.”
เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง ภูมิใจในความเป็นรัสเซียแท้ แต่ก็เปิดใจพอจะคุยกับคนต่างชาติแบบฉัน ลุงกำลังเดินทางกลับบ้านที่เอียร์คุสต์ หลังจากมาเยี่ยมลูกหลานที่มอสโก
ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึง War and Peace ของตอลสตอย วรรณกรรมที่สามารถบรรยายจิตวิญญาณของรัสเซียได้อย่างลึกซึ้ง มันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสงครามหรือชนชั้นสูงในศตวรรษที่ 19 แต่มันคือภาพสะท้อนของความเป็นรัสเซีย—หนักแน่น อดทน เต็มไปด้วยความภาคภูมิ แต่แฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึมและความรู้สึกที่ซ่อนเร้น
ยิ่งเมื่อฉันสังเกตท่าทางสุขุมของลุงนิโคไล ใบหน้าที่ไม่ค่อยเผยรอยยิ้ม แต่แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่า War and Peace ไม่ใช่เพียงแค่วรรณกรรม หากคือชีวิตจริงที่ฉันกำลังพบเจออยู่ตรงหน้า
แล้วก็มี คุณปาเยต์ ชายร่างใหญ่จากยูเครน ใบหน้าคมเข้ม เขาดูแข็งแรงและเป็นมิตร แม้จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่กลับพยายามสื่อสารด้วยท่าทางและรอยยิ้มเสมอ
เขาเดินทางมากับภรรยา เยเลน่า และลูกชาย อเล็กซานเดอร์ เด็กหนุ่มวัยสิบสองที่มีแววตาเฉลียวฉลาด พวกเขากำลังเดินทางไกลเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่วลาดิวอสตอก
เยเลน่าดูเหน็ดเหนื่อย แต่ดวงตายังมีประกายแห่งความหวัง เธอยื่นโทรศัพท์มาให้ฉันดูรูปสวนที่บ้านของเธอในยูเครน ภาพของต้นไม้เขียวชอุ่ม ทุ่งหญ้าที่แสงแดดตกกระทบอย่างอบอุ่น ราวกับต้องการให้ฉันเห็นว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยมีบ้านที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
แล้วเธอก็เลื่อนภาพไปอย่างรวดเร็ว ฉันเห็นรูปเด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เธอจะรีบปัดผ่านไป
ฉันอยากถาม แต่ก็หยุดตัวเองไว้
เยเลน่ามองหน้าฉัน ยิ้มเศร้าๆ แล้วพูดเบาๆ “My daughter… gone.”
ฉันเงียบไป ไม่รู้จะตอบอะไรดี
เพียงประโยคสั้นๆ นั้น ฉันกลับรู้สึกถึงน้ำหนักของมันอย่างมหาศาล
เสียงหัวเราะที่ไร้พรมแดน
คืนหนึ่งในห้องโดยสาร อเล็กซานเดอร์นั่งแกว่งขาอยู่บนเตียงชั้นล่าง ขณะที่พ่อของเขาหยิบกล้วยจากถุงขึ้นมากินอย่างสบายใจ
อยู่ๆ อเล็กซานเดอร์ก็ยิ้มกว้างแล้วพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “Papa strong!”
ฉันมองตามสายตาของเด็กชาย ปาเยต์กำลังงอแขนขึ้นโชว์กล้าม ก่อนจะจับขอบเตียงชั้นสองแล้วโหนตัวขึ้นไปนั่งได้อย่างง่ายดาย ราวกับเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
เสียงหัวเราะดังขึ้นในห้อง ลุงนิโคไลซึ่งนั่งเงียบอยู่นานก็มองปาเยต์แล้วพูดเป็นภาษารัสเซียยาวเหยียด
อเล็กซานเดอร์รีบหันมาหาฉัน พยายามแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น “Grandpa say… strong like bear!”
ปาเยต์หัวเราะเสียงดัง แล้วขยับแขนโชว์กล้ามอีกครั้ง
ทุกคนในห้องหัวเราะไปด้วยกัน แม้จะพูดกันคนละภาษา แต่เรากลับเข้าใจกันได้ผ่านแววตา ท่าทาง และเสียงหัวเราะที่แบ่งปัน
บรรยากาศระหว่างทาง
ทุกวัน รถไฟยังคงเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ วิ่งผ่านทั้งสถานีเล็กและใหญ่ บางสถานีเป็นเพียงจุดแวะเงียบเชียบ มีคนยืนรออยู่เพียงไม่กี่คน ในขณะที่บางสถานีใหญ่พอให้ฉันมีเวลาลงไปเดินเล่นนอกรั้ว
ที่สถานีแห่งหนึ่ง ฉันเห็นผู้โดยสารชาวรัสเซียเดินเข้าไปในบ้านไม้หลังหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเป็นบ้านธรรมดาที่ปิดประตูมิดชิด ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามเข้าไปด้วยความอยากรู้
ข้างในบ้านนั้นไม่ใช่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นร้านขายของขนาดเล็ก ตู้กระจกถูกตั้งเรียงเป็นเคาน์เตอร์ขายของ คนขายยืนอยู่ด้านใน ส่วนลูกค้าต่อคิวกันอย่างเป็นระเบียบ ฉันเห็นแม่ค้ากำลังชั่งอาหารสดให้ลูกค้าคนข้างหน้า ทุกคนดูผ่อนคลาย คุยกันออกรส ไม่มีทีท่าเร่งรีบ
ฉันอยากได้เพียงขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่พอเห็นว่าต้องใช้เวลาสื่อสารกับแม่ค้า ฉันจึงตัดสินใจออกมา แล้วไปซื้อของจากร้านค้าภายในสถานีแทน
บรรยากาศในร้านค้านั้นทำให้ฉันนึกถึงภาพในหนังโซเวียตที่เคยดู เงียบขรึม เป็นระเบียบ เหมือนกำลังรอปันส่วนอาหาร แม้จะรู้สึกเสียดายที่ไม่มีเวลาพอจะลองซื้อของจากร้านในบ้าน เพราะฉันก็รู้ว่ามันคงใช้เวลานานกว่าที่คนขายจะเข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการ เกรงว่าจะนานเกินไป เดี๋ยวรถไฟจะออกไปซะก่อน และถ้าฉันมาตกรถไฟอยู่แถวนี้ คงจะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป
สู่ดินแดนห่างไกล
ยิ่งไกลออกไป เมืองใหญ่เริ่มทิ้งระยะ กลายเป็นทุ่งหญ้าเวิ้งว้างที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนตามสถานีเริ่มเปลี่ยนไป—ใบหน้าของพวกเขาดูคล้ายกับชาวเอเชียมากขึ้น คล้ายกับฉัน
แม่ค้าเริ่มขึ้นมาขายของบนรถไฟมากขึ้น เสียงตะโกนเรียกขายปลาตากแห้ง ผ้าห่ม และของใช้จำเป็นดังไปทั่วเมื่อรถไฟจอด ฉันอดคิดไม่ได้ว่าคนเอเชียดูจะค้าขายเก่งกว่าพวกยุโรป
บ้านเรือนเริ่มเก่าแก่ขึ้น ถนนบางสายมีเพียงรถยนต์เก่าๆ แล่นผ่านไปมา ทิวป่าสนสูงตระหง่านเรียงรายเป็นแนวยาว ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
รถไฟกำลังพาฉันเข้าสู่ดินแดนไซบีเรียอันห่างไกล—สถานที่ที่ฉันเฝ้าฝันถึงมาตลอด







Leave a Reply