Nim Journey

A Legend of Travel

เริ่มการเดินทางบนรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย
Posted in , ,

เสียงล้อเหล็กกระทบกับรางรถไฟดังเป็นจังหวะกึกกัก สอดคล้องกับจังหวะหัวใจของฉันที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ฉันยืนอยู่ที่สถานี Yaroslavlsky Station ในมอสโก พร้อมเป้หลังใบโตและถุงเสบียงที่บรรจุขนมปัง ชีส นม ช็อกโกแลต และหมูสวรรค์จากเมืองไทย ทุกอย่างดูหนักหน่วง แต่หัวใจกลับรู้สึกเบาสบาย เพราะความตื่นเต้นที่กำลังจะได้เริ่มต้นการเดินทางข้ามทวีปด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย—เส้นทางในฝันของนักเดินทางหลายคน แม้ว่าจะเดินทางเพียงลำพัง แต่ฉันก็พร้อมแล้ว

ฉันมาถึงสถานีก่อนเวลาสองชั่วโมง เพื่อเผื่อเวลาให้ตัวเองได้ซึมซับบรรยากาศ หัวใจเต้นแรงเมื่อมองจอแสดงผลบอกหมายเลขชานชาลา ฝันที่เคยห่างไกลกำลังจะเป็นจริง ฉันจินตนาการถึงผู้คนที่ฉันจะได้พบ บางคนที่เดินสวนไปมาอาจกลายเป็นเพื่อนร่วมทางที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้น่าจดจำ

ขณะรอขึ้นรถไฟ ฉันมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา หลายคนลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ บางคนถือของฝากและสัมภาระมากมาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แต่แฝงไปด้วยความคาดหวัง ฉันหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียนความรู้สึก พลางคิดถึงการเดินทางที่กำลังจะเริ่มต้น

เมื่อถึงเวลา ฉันยื่นตั๋วและพาสปอร์ตให้พนักงานตรวจ เธอยิ้มบาง ๆ ก่อนผายมือให้ฉันขึ้นขบวนรถไฟ มือฉันสัมผัสประตูห้องตู้นอนที่เย็นเฉียบเมื่อเลื่อนมันเปิดออก ข้างในห้อง ฉันเห็นชายชราร่างผอมบางนั่งอยู่บนเตียงล่างข้างหน้าต่าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ริมฝีปากบางที่ปิดสนิทคล้ายไม่คุ้นเคยกับการยิ้ม แต่ดวงตาสะท้อนความอบอุ่น

หญิงวัยกลางคนช่วยกันขนสัมภาระเข้ามาจัดวางในห้อง เธอหันมาทางฉัน พลางพูดบางอย่างเป็นภาษารัสเซีย ฉันเดาจากท่าทางว่าเธอคงถามว่า “ฉันจะไปที่ไหน?”

“เอียร์คุตส์” ฉันตอบพร้อมรอยยิ้ม เธอยิ้มตอบและชี้ไปที่ชายชรา “เอียร์คุตส์” เธอกล่าว ความกังวลในใจฉันพลันคลายลง การที่รู้ว่าคุณลุงคนนี้จะเดินทางไปปลายทางเดียวกัน ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้น

ฉันยิ้มให้ลุงและถามเบา ๆ “ลุงจะไปที่ Irkutsk ใช่ไหมคะ?”

ลุงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากยกเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบว่า “ใช่ ฉันอยู่ที่นั่นตั้งแต่เด็ก แต่ย้ายมาอยู่มอสโกกับลูกชายหลายปีแล้ว”

บทสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคทำให้บรรยากาศในห้องอุ่นขึ้น ลุงนิโคไลดูเงียบขรึมแต่แฝงไปด้วยความเศร้า ราวกับว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการกลับสู่รากเหง้าหลังจากห่างหายไปนาน

ไม่นานหลังจากนั้น ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง เด็กหนุ่มหน้าตาดี ยิ้มสดใส เดินเข้ามาพร้อมสัมภาระใบใหญ่หลายใบ ตามด้วยชายวัยกลางคนร่างใหญ่ พวกเขาช่วยกันยัดกระเป๋าใต้ที่นั่งรวมถึงใต้เตียงฉัน ฉันพยายามเบียดข้าวของตัวเองให้ชิดมุม ของฉันไม่มาก แต่ของพวกเขาดูเหมือนจะบรรทุกมาทั้งบ้าน

เด็กหนุ่มส่งยิ้มกว้างให้ฉัน รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ถ้าเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องก็คงไม่เลวเลย แต่แล้วฉันก็เห็นว่าเขาพักอยู่ห้องข้าง ๆ กับแม่ ส่วนชายร่างใหญ่ที่ฉันรู้จักภายหลังว่าชื่อคุณปาเยต์ พักในห้องเดียวกับฉัน

การมีเพื่อนร่วมทางใหม่ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้น ความกังวลก่อนหน้าค่อย ๆ จางหายไป รถไฟค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลา ล้อเหล็กบดกับรางส่งเสียงกึกกัก การเดินทางข้ามทวีประยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร ข้ามไทม์โซนห้าช่วงเวลากำลังเริ่มขึ้น ฉันจะได้เห็นเมืองเก่า หมู่บ้านชนบท แม่น้ำกว้าง ป่าสน และภูเขาที่ทอดยาวสุดสายตา

ฉันนั่งลงข้างหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ที่ค่อย ๆ ถอยห่างออกไป มอสโกค่อย ๆ จางหาย เหลือเพียงทุ่งหญ้าและบ้านไม้เรียบง่าย สายลมพัดใบไม้ปลิวไหว ขณะที่แสงแดดอาบไล้เส้นทางข้างหน้า

ในห้องตู้นอน ลุงยังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คุณปาเยต์กระโดดขึ้นเตียงชั้นบนด้วยความคล่องแคล่ว กล้ามเนื้อแข็งแรงทำให้เขาโหนตัวขึ้นได้อย่างง่ายดาย ฉันแอบหัวเราะเบา ๆ เขาดูเหมือนนักมวยปล้ำจริง ๆ

ห้องของเรามีเพียงสามคน—ฉัน นักท่องเที่ยวที่พยายามสื่อสารท่ามกลางกำแพงภาษา, ลุงนิโคไลผู้เงียบขรึมแต่ใจดี และคุณปาเยต์ ชายร่างใหญ่ที่ดูแข็งแรงแต่มีท่าทีเป็นมิตร ความเงียบในห้องไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด

หลังจากความเงียบผ่านไป คุณปาเยต์พยายามเริ่มบทสนทนา แม้จะมีอุปสรรคทางภาษา แต่เราก็พยายามสื่อสารกันด้วยคำพูดง่าย ๆ และภาษามือ ลุงนิโคไลพูดอังกฤษได้เล็กน้อย พยายามช่วยแปลบ้าง แม้จะติดขัด แต่ก็ทำให้เราหัวเราะได้

“ชื่อของฉัน… นิโคไล” ลุงเอ่ยพร้อมยิ้มบาง ๆ

ฉันยิ้มตอบ “ฉันชื่อ… นิ่ม มาจากประเทศไทยค่ะ” พร้อมกับชี้ที่ตัวเอง

คุณปาเยต์หัวเราะเบา ๆ และทุบอกตัวเองเบา ๆ ก่อนพูดว่า “ปาเยต์” เขาชี้ไปทางห้องข้าง ๆ “เยเลน่า” และ “อเล็กซานเดอร์” ฉันเดาว่าเป็นภรรยาและลูกชายของเขา

หลังจากได้รู้จักชื่อกัน บรรยากาศในห้องก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายขึ้น แม้จะสื่อสารกันได้น้อย แต่รอยยิ้มและท่าทางก็เพียงพอที่จะสร้างมิตรภาพเล็ก ๆ

เสียงกึกกักของล้อรถไฟกลายเป็นเพลงกล่อม ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ราวกับภาพวาดที่ค่อย ๆ ถูกระบายสี การเดินทางบนรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย—ฝันที่เป็นจริง—กำลังพาฉันเข้าสู่โลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เราสามคนเริ่มแลกเปลี่ยนอาหารกันอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยน้ำใจ ลุงนิโคไลหยิบขนมปังแข็งจากมอสโกส่งมาให้ฉันลองชิม กลิ่นแป้งสาลีที่แห้งกรอบแต่แฝงด้วยความอบอุ่นทำให้ฉันยิ้มออกมาอย่างเงียบ ๆ ฉันยื่นหมูสวรรค์จากเมืองไทยให้พวกเขาลองบ้าง คุณปาเยต์ยิ้มกว้าง ดวงตาสื่อถึงความพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ยคำว่า “ดี!” ด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ แต่เปี่ยมด้วยความจริงใจ เขาหยิบหมูสวรรค์ชิ้นเล็ก ๆ แล้วเดินออกไป

ไม่นาน เยเลน่าเดินเข้ามาในห้อง พร้อมขนมปังโปะหน้าด้วยหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ เธอยื่นให้ฉัน ฉันยิ้มรับ แม้จะรู้สึกพะอืดพะอมเล็กน้อยเมื่อเห็นมันหมูชิ้นเบ่อเริ่มวางอยู่บนขนมปัง แต่ความอบอุ่นในท่าทางของเธอกลับทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจ

สายสัมพันธ์เล็ก ๆ ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน การเดินทางที่ฉันเคยคิดว่าจะเต็มไปด้วยความเหงา กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นที่ไม่คาดคิด ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเข้าสู่ยามเย็น แสงอาทิตย์สีส้มทองสาดส่องลงบนผืนป่าและทุ่งหญ้าที่ทอดยาว โลกใบนี้กว้างใหญ่และสวยงามกว่าที่ฉันเคยจินตนาการ

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ฉันรู้แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ฉันจะไม่มีวันลืม

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.