Nim Journey

A Legend of Travel

ข้ามคืนจากมอสโคว์สู่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก – ยามเช้าแห่งความสงบและความงดงาม
Posted in , ,

เมื่อคืนนี้ เรานั่งรถไฟตู้นอนออกจากมอสโคว์ มุ่งหน้าสู่เมืองทางเหนือที่มีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามทางสถาปัตยกรรม — เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เราเลือกห้องโดยสารแบบ 4 เตียง มีทั้งชั้นล่างและชั้นบน เดินทางกันสามคน และด้วยความเพลีย เพื่อนที่ได้นอนชั้นบนก็เลยแอบย้ายมานอนเตียงล่างที่ว่างอยู่ แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วมาพบเข้า จึงถูกปรับตามระเบียบ เตียงล่างมีราคาสูงกว่าเตียงบน ซึ่งเราก็ยอมรับโดยดี เพราะเข้าใจว่าผิดจริง ๆ

เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (Saint Petersburg)

ถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในยามเช้าตรู่ — เมืองทั้งเมืองดูเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และดูเหมือนฝนจะตกในช่วงกลางคืน เพราะถนนยังเปียกชื้นอยู่บางส่วน แสงแดดยามเช้าทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลและอบอุ่นขึ้นอีกนิด อาคารริมถนนค่อย ๆ ถูกแสงอาทิตย์แต่งแต้มให้เรืองรอง เผยให้เห็นรายละเอียดสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปอย่างชัดเจน

อนุสาวรีย์พระนางแคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great Monument)

เราเดินลากกระเป๋าไปตามทางเท้าของถนน Nevsky Prospect ซึ่งเป็นถนนสายหลักและเก่าแก่ที่สุดสายหนึ่งของเมือง ตัดผ่านใจกลางเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของเมืองนี้ ระหว่างทางผ่านสวนเล็ก ๆ ที่ร่มรื่น มองเห็น อนุสาวรีย์พระนางแคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great Monument) ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ยังไม่ได้แวะเข้าไปใกล้ คิดว่าคงจะมีโอกาสทักทายกันอีกทีในช่วงสายของวัน

แม่น้ำใสนิ่งในยามเช้า ของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ขณะเดินข้ามสะพานสายหนึ่ง ฉันหยุดมองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่อาจละสายตา — แม่น้ำที่ใสและนิ่งดุจกระจก สะท้อนภาพอาคารสวยงามริมสองฝั่งลงไปในผืนน้ำ จนดูราวกับมีอีกเมืองหนึ่งกลับหัวอยู่ข้างล่าง เรือท่องเที่ยวสีขาวลำเล็กจอดสงบอยู่ริมตลิ่ง บรรยากาศทั้งหมดนั้นให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเหมือนเวลาเดินช้าลง

หลังจากเก็บสัมภาระไว้ที่พักและรอเวลาเช็คอิน เรามีเวลาสั้น ๆ สำหรับการสำรวจเมืองในช่วงเช้า และเพียงไม่นานเราก็เริ่มรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ที่แตกต่างของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเมืองที่ไม่พลุกพล่านเท่ามอสโคว์ แต่กลับแฝงไปด้วยความโอ่อ่า สง่างาม และสถาปัตยกรรม

เราเดินตามถนนใหญ่ ก่อนจะเลี้ยวไปตามแม่น้ำจากมุมสะพานสายนี้เอง เราได้เห็นปลายยอดโดมหลากสีของ โบสถ์แห่งการชำระเลือด (Church of the Savior on Spilled Blood) โผล่พ้นหลังคาตึกขึ้นมาอย่างโดดเด่น ความวิจิตรของยอดโดมที่ถูกประดับด้วยสีทอง ฟ้า เขียว และลวดลายขดวนในแบบรัสเซียดั้งเดิม ทำให้เราต้องรีบเดินตรงเข้าไปใกล้ทันที

โบสถ์แห่งการชำระเลือด (Church of the Savior on Spilled Blood)

โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นบนสถานที่ที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ในปี ค.ศ. 1881 จึงเป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และอนุสรณ์สถานในเวลาเดียวกัน ตัวอาคารได้รับแรงบันดาลใจจากโบสถ์เซนต์เบซิลที่มอสโคว์ แต่มีรายละเอียดที่ซับซ้อนยิ่งกว่า โดยเฉพาะภายในที่ตกแต่งด้วย กระเบื้องโมเสกกว่า 7,500 ตารางเมตร — ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย

ภายในโบสถ์เงียบสงบ และเต็มไปด้วยภาพโมเสกของนักบุญต่าง ๆ รายล้อมด้วยทองคำและสีสันเจิดจ้า แสงที่ลอดผ่านหน้าต่างสะท้อนกับพื้นผิวผนังจนดูราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ ก้าวเดินในโบสถ์แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ที่ซึ่งเรื่องเล่าในพระคัมภีร์ค่อย ๆ มีชีวิตขึ้นมาผ่านงานศิลปะ

หลังใช้เวลาชื่นชมความวิจิตรของศาสนสถานแห่งนี้จนเต็มอิ่ม เราจึงค่อย ๆ เดินกลับออกมา พร้อมความรู้สึกเหมือนได้สัมผัสหัวใจของประวัติศาสตร์รัสเซียอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง

ระหว่างทางจากโบสถ์ เราเดินตัดผ่านอาคารสไตล์อาร์ตนูโวที่มีโดมแก้วบนยอดตึก — นั่นคือ อาคาร Singer House หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dom Knigi ร้านหนังสือเก่าแก่ชื่อดังของเมือง อาคารนี้เคยเป็นสำนักงานของบริษัท Singer ผู้ผลิตจักรเย็บผ้าระดับโลก และถือเป็นหนึ่งในอาคารสไตล์อาร์ตนูโวที่งดงามที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

เรายังคงเดินต่อไปจนถึงปลายถนนที่เปิดกว้างเข้าสู่ พระราชวังฤดูหนาว (Winter Palace) อาคารสีเขียวพาสเทลตัดขอบขาวทองที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า นั่นคืออาคารหลักของ พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ (Hermitage Museum) หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก เพียงแค่เดินผ่านด้านหน้า ก็สัมผัสได้ถึงความอลังการของอดีตอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ของรัสเซีย

มหาวิหารเซนต์ไอแซค (Saint Isaac’s Cathedral)

จากนั้นเราเดินเท้าเรื่อยมา จนได้พบกับอีกหนึ่งความยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัส — มหาวิหารเซนต์ไอแซค (Saint Isaac’s Cathedral) ไม่เพียงเป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย และติดอันดับหนึ่งในโบสถ์โดมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในอดีตมหาวิหารแห่งนี้เคยเป็นโบสถ์หลักประจำรัฐจักรวรรดิรัสเซีย ใช้ในการประกอบพิธีสำคัญของราชวงศ์ และเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและศรัทธาในยุคที่ศาสนาและรัฐยังเดินเคียงข้างกันอย่างแน่นแฟ้น นอกจากนี้ยังเคยถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งอเทวนิยมในยุคโซเวียต ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมรัสเซียอย่างลึกซึ้ง

มหาวิหารเซนต์ไอแซค (Saint Isaac’s Cathedral)

ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกที่ผสมผสานกลิ่นอายเรอเนสซองซ์ มหาวิหารหลังนี้ดูสง่างามราวปราสาทหินในยุคโบราณ โดมทองคำขนาดมหึมาสูงกว่า 100 เมตร เป็นสัญลักษณ์ที่มองเห็นได้จากหลายมุมเมือง และในวันที่แสงแดดอาบเมืองเช่นวันนี้ ผิวทองของโดมก็ส่องประกายอร่ามตาเป็นพิเศษ

ภายนอกมหาวิหารประดับประดาด้วยเสาหินแกรนิตสีแดงเข้มจากคาร์เรเลียกว่า 112 ต้น รูปปั้นสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ประดับอยู่ตามมุมหลังคา แต่ละองค์คือเทพ เทวา และนักบุญในความเชื่อคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ซึ่งล้วนมีความหมายลึกซึ้ง ภายในโบสถ์ยิ่งวิจิตรตระการตา — ผนัง ประตู และโดม ถูกประดับด้วยหินอ่อน โมเสก และจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรงดงาม

มหาวิหารแห่งนี้เริ่มต้นก่อสร้างในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 โดยใช้เวลากว่า 40 ปี (ค.ศ. 1818–1858) จึงแล้วเสร็จ เป้าหมายคือการสร้างศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีแห่งจักรวรรดิรัสเซีย และเมื่อได้ย่างเท้าเข้าสู่ภายใน ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมงานชิ้นเอกแห่งความอุตสาหะและความศรัทธานี้จึงสามารถดึงดูดใจผู้มาเยือนได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

อนุสาวรีย์ปีเตอร์มหาราช (The Bronze Horseman)

ถัดจากมหาวิหารเพียงไม่ไกล เราก็ได้พบกับ อนุสาวรีย์ปีเตอร์มหาราช (The Bronze Horseman) รูปปั้นทองสัมฤทธิ์อันโด่งดังที่แสดงภาพซาร์ปีเตอร์ที่ 1 ขณะควบม้าเหยียบทับอสรพิษซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศัตรูของรัฐ รูปปั้นนี้ตั้งอยู่บนแท่งหินแกรนิตยักษ์ที่ชื่อว่า “Thunder Stone” และถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งของพระนางแคทเธอรีนมหาราช เพื่อเป็นเกียรติแด่ผู้ก่อตั้งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อนุสาวรีย์นี้ไม่เพียงเป็นผลงานศิลปะระดับโลก แต่ยังเป็นหัวใจของจิตวิญญาณเมือง และมีตำนานเล่าว่าตราบใดที่อนุสาวรีย์ยังตั้งอยู่ ศัตรูจะไม่มีวันยึดเมืองนี้ได้

เรายืนมองรูปปั้นด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต ก่อนจะเดินต่อไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนวา สายน้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนและเมืองมาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง

พิพิธภัณฑ์คุนซ์คาเมรา (Kunstkamera) อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเนวา

แสงแดดยามเย็นตกกระทบผิวน้ำเป็นระลอกระยิบระยับ สายลมเย็นโชยผ่านริมฝั่งทำให้แม้แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทั้งวันก็คล้ายจะจางหายไป เรายืนมองเรือท่องเที่ยวล่องไปอย่างช้า ๆ ข้ามแม่น้ำ และทอดสายตาไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์คุนซ์คาเมรา (Kunstkamera) — พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งแรกของรัสเซียที่ก่อตั้งโดยซาร์ปีเตอร์มหาราช

จากจุดชมวิวริมฝั่งแม่น้ำ เราเดินวกกลับมาทาง Palace Square ซึ่งเป็นลานกว้างใจกลางเมืองที่เคยเป็นเวทีของเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ทั้งการปฏิวัติปี 1917 และงานเฉลิมฉลองใหญ่ของราชวงศ์ อาคารสีเหลืองนวลและซุ้มประตูโค้งของ General Staff Building ที่มีรูปปั้นเทพีสงครามประดับอยู่ด้านบนดูโดดเด่นใต้แสงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงทุกขณะ

และก่อนที่ฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม เราก็มาแวะพักนั่งที่สวนหน้ามหาวิหารคาซาน (Kazan Cathedral) อีกแห่งหนึ่งที่งดงามด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโรมัน เสาระเบียงรูปโค้งรายล้อมลานน้ำพุเล็ก ๆ กลางสวน กลายเป็นจุดนั่งพักผ่อนของทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมือง

ขากลับที่พัก เราเดินผ่านอาคารมากมายที่แม้จะได้ชมเพียงแค่ภายนอก แต่ก็น่าทึ่งด้วยสถาปัตยกรรมอันวิจิตร บอกเล่าเรื่องราวของเมืองที่เปี่ยมไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง… และนี่ก็เป็นเพียงแค่วันแรกจากเวลาสามวันที่เราจะได้ใช้ร่วมกับเมืองแสนสง่างามแห่งนี้

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.