Nim Journey

A Legend of Travel

จากพระราชวังปีเตอร์ฮอฟสู่เงาอดีตแห่งโซเวียต
Posted in , ,

เช้านี้เราออกเดินทางจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปยังพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof Palace) หรือที่ใครหลายคนขนานนามว่า “แวร์ซายแห่งรัสเซีย” จุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความอลังการเกินจินตนาการ

เราเลือกเดินทางแบบท้องถิ่น เพื่อสัมผัสชีวิตผู้คนในวันธรรมดา โดยนั่งรถมินิบัสสาย K404 ซึ่งสามารถขึ้นได้จากบริเวณสถานีรถไฟใต้ดิน Avtovo หรือใกล้เคียง จุดสังเกตคือลานรถตู้ที่มีป้ายสีเหลืองใหญ่เขียนไว้ชัดเจนว่า “K404” พร้อมตารางเส้นทางจอดรับส่งต่าง ๆ รถสายนี้เริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 6.30 น. จนถึงเที่ยงคืน เดินรถถี่ทุก ๆ 10 นาที เรียกได้ว่าสะดวกและง่ายมากสำหรับนักเดินทางอย่างเรา

รถตู้แล่นไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านย่านชานเมือง บางช่วงก็ผ่านถนนสายป่าโปร่ง บางช่วงผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ให้กลิ่นอายชนบทอันเงียบสงบ เรานั่งชมวิวไปเพลิน ๆ ไม่นานนัก รถก็แล่นเข้าสู่พื้นที่ของเมือง ปีเตอร์กอฟ (Petergof) ซึ่งเป็นเมืองพักผ่อนฤดูร้อนของราชวงศ์นับแต่สมัยปีเตอร์มหาราช

พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof Palace)

ทันทีที่ลงจากรถตู้และเดินเข้าสู่บริเวณพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ (Peterhof Palace) เสียงน้ำพุพวยพุ่งก็ลอยมากระทบโสตประสาท เบื้องหน้าเราคือ Grand Cascade น้ำพุชุดใหญ่อลังการประดับด้วยรูปปั้นทองคำระยิบระยับ โดยเฉพาะ รูปปั้นแซมซัน (Samson Fountain) กำลังแหวกปากสิงโต ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของรัสเซียเหนือสวีเดนในศึก Great Northern War

ที่นี่ไม่ใช่เพียงพระราชวัง แต่คือสถาปัตยกรรมแห่งการประกาศอำนาจของราชวงศ์ และในขณะเดียวกันก็เป็นงานศิลป์ที่สร้างขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ เป็นทั้งความภูมิใจของชาติและของกษัตริย์ผู้สร้าง เราเดินทอดน่องไปตามแนวคลองยาวที่พาดผ่านสวนขนาดใหญ่ แวะชมศาลาพักกลางน้ำ น้ำพุเล็ก ๆ ซ่อนตัวในมุมร่มไม้ เสียงน้ำ เสียงลม และกลิ่นไอประวัติศาสตร์ต่างร่วมขับขานอย่างกลมกลืน

พระราชวังตั้งอยู่ริมฝั่งอ่าวฟินแลนด์

พระราชวังปีเตอร์ฮอฟสร้างขึ้นโดย พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช (Peter the Great) ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 หลังจากที่พระองค์เสด็จเยือนพระราชวังแวร์ซายในฝรั่งเศสและเกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้ง พระองค์ต้องการให้รัสเซียมีพระราชวังฤดูร้อนที่ยิ่งใหญ่และสง่างามไม่แพ้ชาติใดในยุโรป จึงเลือกพื้นที่ริมฝั่งอ่าวฟินแลนด์ ซึ่งอยู่ห่างจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพียงประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อสร้างราชวังแห่งนี้

พื้นที่ดังกล่าวเดิมเคยเป็นเพียงเขตที่ลุ่มริมทะเล แต่ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกล พระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงเห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับสร้างพระราชวังที่สามารถเปิดรับเรือจากต่างประเทศได้โดยตรง และยังเป็นทางเชื่อมสำคัญระหว่างจักรวรรดิรัสเซียกับโลกตะวันตก ทั้งยังทรงวางแผนระบบน้ำอย่างพิถีพิถัน โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงจากแหล่งน้ำธรรมชาติบนเนินเขา เพื่อจ่ายน้ำสู่ระบบน้ำพุอันวิจิตรอลังการโดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบใด ๆ เลย นับว่าเป็นผลงานชั้นยอดทั้งด้านวิศวกรรมและสุนทรียศาสตร์

ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าปีเตอร์ พระราชวังปีเตอร์ฮอฟยังคงถูกใช้เป็นที่ประทับของพระราชวงศ์ในช่วงฤดูร้อน และได้รับการขยาย ตกแต่งเพิ่มเติมในรัชสมัยของจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ มา โดยเฉพาะในสมัยของพระนางอลิซาเบธและแคทเธอรีนที่ 2

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ พระราชวังแห่งนี้ถูกเปลี่ยนสถานะจากราชวังหลวงมาเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับประชาชน ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปีเตอร์ฮอฟได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการรุกรานของกองทัพเยอรมัน และมีการปล้นสะดมสิ่งของล้ำค่าหลายรายการ จนกระทั่งรัฐบาลโซเวียตได้เริ่มบูรณะอย่างยิ่งใหญ่หลังสงคราม

ในปัจจุบัน ปีเตอร์ฮอฟไม่ได้ถูกใช้เป็นที่ประทับอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของรัสเซียที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาชม “มหาโอเอซิสแห่งน้ำพุทองคำ” และความสง่างามแห่งอดีตที่ยังคงเปล่งประกายไม่เสื่อมคลาย

โบสถ์ Alexander Nevsky Lavra

ระหว่างทางกลับจากปีเตอร์ฮอฟ เราผ่าน โบสถ์ Alexander Nevsky Lavra (หรืออาจรู้จักกันในชื่อ Monastery of Saint Alexander Nevsky) ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางศาสนาที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตัวโบสถ์สีขาวบริสุทธิ์ ประดับยอดโดมทรงหัวหอมสีดำแบบรัสเซียดั้งเดิม โดดเด่นท่ามกลางแสงยามเย็นที่ทอดเงายาวลงบนกำแพงโบสถ์ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ ต่างจากบรรยากาศคึกคักของพระราชวังเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

เมื่อมองไปรอบ ๆ ระหว่างเดินกลับ เราเริ่มสังเกตถึงสิ่งที่เรายังไม่ค่อยได้เห็นนักในการมาเยือนรัสเซียครั้งนี้ — ความเป็นโซเวียต แม้ชื่อของรัสเซียจะเคยเป็นสหภาพโซเวียตในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่ในเมืองใหญ่อย่างมอสโคว์และเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ฉันกลับพบร่องรอยของโซเวียตน้อยกว่าที่คาดไว้ อาคารที่เคยถูกใช้เป็นศูนย์ราชการในยุคคอมมิวนิสต์ยังคงอยู่บ้างกระจัดกระจาย เช่นอาคารรัฐสภาแบบบล็อกสี่เหลี่ยมทรงแข็ง หรือรูปปั้นนักปฏิวัติผู้มีหนวดเคราในสวนสาธารณะ

สิ่งที่ปรากฏเด่นที่สุดกลับกลายเป็นพระราชวัง โบสถ์ และศิลปะจากยุคจักรวรรดิ ซึ่งได้รับการบูรณะและยกย่องให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมมากกว่ายุคโซเวียต นี่อาจเป็นผลของการฟื้นฟูอัตลักษณ์รัสเซียในช่วงหลังยุคโซเวียต ซึ่งมุ่งเน้นการย้อนกลับไปสู่รากเหง้าของจักรวรรดิและออร์โธดอกซ์มากกว่าการเชิดชูความเป็นคอมมิวนิสต์

แม้เราจะไม่อาจแน่ใจว่าสิ่งใดคืออดีตของโซเวียตที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่อาคารบางแห่งที่ดูแข็งทื่อ แฝงไว้ด้วยอารมณ์ของยุคอุตสาหกรรม หรือโรงงานอิฐแดงริมแม่น้ำที่ดูเหมือนถูกทิ้งร้าง กลับสะท้อนความทรงจำลาง ๆ ของยุคสมัยที่เคยเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปตลอดกาล

และเมื่อเอ่ยถึงความเป็นโซเวียต ก็คงไม่อาจละเลยชื่อเดิมของเมืองนี้ว่า “เลนินกราด” ซึ่งถูกใช้ในช่วงปี 1924–1991 เพื่อเป็นเกียรติแก่ วลาดีมีร์ เลนิน ผู้นำการปฏิวัติรัสเซียและผู้ก่อตั้งรัฐโซเวียต เมืองนี้เคยเป็นศูนย์กลางของความเป็นโซเวียตอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของอุดมการณ์ การบริหาร และแม้แต่การรบ โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เมืองเลนินกราดถูกปิดล้อมยาวนานถึง 872 วัน โดยกองทัพนาซีเยอรมัน ชาวเมืองนับล้านอดทนต่อความหิวโหย หนาวเหน็บ และการโจมตี โดยยังยืนหยัดอยู่ได้อย่างกล้าหาญ นับเป็นบทหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมด้วยความทรงจำและความสูญเสีย

หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 เมืองนี้กลับมาใช้ชื่อเดิมว่า “เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก” อีกครั้ง เป็นการฟื้นคืนอัตลักษณ์เดิมจากยุคจักรวรรดิ แต่ชื่อ “เลนินกราด” ก็ยังคงปรากฏอยู่ในสถานีรถไฟ ชื่อถนน และในใจของชาวเมืองที่เติบโตมากับยุคนั้น ราวกับเป็นชั้นหนึ่งของความทรงจำที่ยังไม่เลือนหายไป

นี่คือรัสเซียที่เราได้พบ — ระหว่างความโอ่อ่าของอดีตจักรพรรดิ กับเงาของความเปลี่ยนแปลงที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมถนน

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.