เช้านี้ฉันเริ่มต้นวันด้วยการไปเยือนหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของรัสเซีย มหาวิหารแห่งพระคริสต์ผู้ช่วยให้รอด (Cathedral of Christ the Saviour)
มหาวิหารแห่งพระคริสต์ผู้ช่วยให้รอด (Cathedral of Christ the Saviour)
หลังจากมหาวิหารเดิมถูกทำลายลงในปี 1931 รัฐบาลโซเวียตได้วางแผนจะสร้าง “พระราชวังแห่งสภา” (Palace of the Soviets) แทน แต่แผนล้มเหลว ต่อมาพื้นที่แห่งนี้ถูกปรับให้เป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ชื่อว่า Moskva Pool ซึ่งถือว่าเป็นสระว่ายน้ำเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น ก่อนจะถูกรื้อและสร้างวิหารขึ้นใหม่ในปี 1995 มหาวิหารแห่งนี้เป็นโบสถ์คริสต์ออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Moskva ไม่ไกลจากเครมลิน ตัววิหารโดดเด่นด้วยโดมทองขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายเมื่อกระทบแสงแดด

มหาวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือกองทัพนโปเลียน แต่ถูกทำลายลงในยุคโซเวียต แล้วจึงถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 1995 บนพื้นที่เดิมตามแบบดั้งเดิม ถือเป็นการฟื้นฟูความเชื่อและประวัติศาสตร์ในยุคหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย
หลังจากเดินชมรอบมหาวิหาร ฉันข้ามสะพานที่ทอดยาวเหนือแม่น้ำ Moskva ทิวทัศน์จากตรงนี้มองย้อนกลับไปยังเครมลินได้อย่างงดงาม เห็นกำแพงแดง หอคอยสูง และโบสถ์โดมทองตั้งตระหง่านอยู่ในฉากหลังที่ดูเหมือนภาพวาด
อนุสาวรีย์ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 (Monument to Alexander II)
เมื่อเดินข้ามมายังฝั่งตรงข้าม ฉันแวะชม อนุสาวรีย์ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 (Monument to Alexander II) ที่ตั้งอยู่ในสวนใกล้ ๆ กับมหาวิหาร อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าซาร์ที่มีบทบาทในการเลิกทาสในรัสเซียในปี 1861 ด้านหลังมีซุ้มเสาโรมันแบบนีโอคลาสสิก ล้อมรอบรูปปั้นองค์ซาร์ที่ดูสง่างามและเคร่งขรึม
ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถือเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีความก้าวหน้าในยุคนั้น เพราะเขาปฏิรูประบบการปกครอง การศึกษา และระบบกฎหมายในหลายด้าน จนได้รับสมญานามว่า “ผู้ปลดปล่อย”

บรรยากาศรอบ ๆ อนุสาวรีย์เงียบสงบ ต้นไม้เขียวร่มรื่น อาคารสีฟ้าสดที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ช่วยเติมสีสันให้กับภาพรวมของสถานที่ได้ดีทีเดียว
หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปและซึมซับบรรยากาศอยู่สักพัก ก็ได้เวลาเดินต่อไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็ยังมองเห็นแม่น้ำ Moskva และทิวทัศน์ฝั่งเครมลินแบบเต็มสายตาอีกครั้ง มุมมองจากตรงนี้ทำให้เห็นความยิ่งใหญ่ของศูนย์กลางประวัติศาสตร์รัสเซียได้ชัดเจนขึ้นอีก

Novodevichy Convent (อารามโนโวดิวีชี)
ช่วงสายฉันเปลี่ยนบรรยากาศไปที่ Novodevichy Convent (อารามโนโวดิวีชี) ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองออกมาสักหน่อย ที่นี่เป็นหนึ่งในอารามที่เก่าแก่และสง่างามที่สุดในกรุงมอสโคว์ สร้างขึ้นในปี 1524 เพื่อเฉลิมฉลองการยึดเมืองสมอลเลนสค์กลับคืนจากพวกโปแลนด์-ลิทัวเนีย โดดเด่นด้วยกำแพงสีขาวและหอคอยสีแดง รูปแบบสถาปัตยกรรมบาโรกผสมรัสเซียคลาสสิกทำให้ดูสวยแปลกตา


ภายในอารามมีโบสถ์หลายหลัง และสวนที่เงียบสงบร่มรื่นเหมาะกับการเดินเล่นหรือหยุดพักใจ หนึ่งในจุดเด่นคือโบสถ์ที่มีโดมทองและเงินตั้งเรียงรายกันอย่างลงตัว ภายในบางจุดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
อารามโนโวดิวีชีเคยใช้เป็นสถานที่จำพรรษาของหญิงในราชวงศ์และหญิงชนชั้นสูงที่ถูกส่งมาอยู่ในอารามตามข้อตกลงทางการเมือง ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เช่นเดียวกับเครมลิน
การมาเยือนอารามแห่งนี้เหมือนการได้พักใจและย้อนกลับไปในยุคอดีตอย่างแท้จริง เส้นทางเดินรอบ ๆ มีทั้งเงาร่มไม้และแสงแดดลอดผ่าน สร้างความรู้สึกสงบที่แตกต่างจากจัตุรัสแดงอย่างสิ้นเชิง





Izmailovsky Market
จากนั้นฉันเดินทางต่อไปยังย่าน Izmailovsky Market ตลาดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของฝากงานฝีมือของรัสเซียที่ใหญ่และคึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในมอสโคว์ ด้านหน้าทางเข้าตลาดคืออาคารสไตล์แฟนตาซีสีขาวฟ้า มีป้อมปราการจำลอง ดูคล้ายฉากเทพนิยาย เป็นจุดที่นักท่องเทียวนิยมมาถ่ายรูปกันมาก

ภายในตลาดมีสินค้ามากมายให้เลือก ตั้งแต่กล้องวินเทจ สมุดโน้ตเก่า ของเล่นย้อนยุค ไปจนถึงตุ๊กตาแม่ลูกดก Matryoshka ที่ขึ้นชื่อในฐานะสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมรัสเซีย โดยเฉพาะร้านที่รวมของสะสมเก่า ๆ อย่างกล้องถ่ายรูปยุคโซเวียต ก็ชวนให้นักท่องเที่ยวหลายคนเดินวนอยู่นานไม่แพ้พิพิธภัณฑ์
ตุ๊กตา Matryoshka หรือตุ๊กตาแม่ลูกดก
ตุ๊กตา Matryoshka ตัวแรกถือกำเนิดขึ้นในปี 1890 ได้รับแรงบันดาลใจจากตุ๊กตาญี่ปุ่น แต่ถูกพัฒนาให้มีลวดลายแบบรัสเซียและกลายเป็นของฝากยอดนิยมที่แสดงถึงความเป็นแม่ การให้กำเนิด และวัฒนธรรมของครอบครัวรัสเซีย

สถานีรถไฟใต้ดินมอสโคว์
ระหว่างทางไปตลาดฉันยังได้แวะผ่านสถานีรถไฟใต้ดินที่ตกแต่งอย่างสวยงาม เช่น สถานี Elektrozavodskaya ที่มีเพดานประดับด้วยโคมไฟวงกลมเรียงเป็นระเบียบ คล้ายผลงานศิลปะร่วมสมัย และผนังประดับด้วยงานแกะสลักหินอ่อน เป็นอีกหนึ่งสถานีที่น่าประทับใจในเครือข่ายรถไฟใต้ดินมอสโคว์

หลังจากเดินตลาดเสร็จ ฉันก็กลับมาเดินสำรวจสถานีรถไฟใต้ดินสายต่าง ๆ อย่างจริงจัง สถานีแต่ละแห่งนั้นเปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ใต้ดิน ทั้งความวิจิตรของลวดลาย งานประติมากรรม ภาพโมเสกบนเพดาน และโคมไฟระย้าสไตล์วังหลวง
การตกแต่งสถานีรถไฟใต้ดินในมอสโคว์นั้นสะท้อนแนวคิดยุคสตาลิน ที่ต้องการให้ “ศิลปะเป็นของประชาชน” รถไฟใต้ดินไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่ควรเป็นสถานที่ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนรู้สึกภาคภูมิใจ และมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมของชาติ แต่ละสถานีจึงถูกออกแบบอย่างอลังการ เปรียบได้กับ “พระราชวังของประชาชน” เลยก็ว่าได้
เกร็ดประวัติศาสตร์: รถไฟใต้ดินมอสโคว์ (Moscow Metro) เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1935 ในยุคของโจเซฟ สตาลิน โดยเริ่มจากเพียง 13 สถานี ความยาว 11 กิโลเมตร จุดประสงค์ดั้งเดิมคือเพื่อแก้ปัญหาการจราจรในเมืองหลวงที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลโซเวียตก็มองว่าโครงการนี้เป็นโอกาสในการสร้างความภาคภูมิใจแก่ประชาชน และแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งสังคมนิยมผ่านสถาปัตยกรรม ดังนั้นสถานีจึงถูกออกแบบอย่างหรูหรา ตกแต่งด้วยหินอ่อน โคมไฟระย้า และภาพโมเสก แสดงถึงความมั่นคง ความรุ่งเรือง และอุดมการณ์ของรัฐ
ในแต่ละสถานี ฉันเดินชมอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา มีทั้งภาพประติมากรรมทหาร ภาพวาดแนวอุดมคติของโซเวียต และงานแกะสลักอ่อนช้อยบนเพดาน แม้จะเป็นช่วงเย็นที่คนเยอะ แต่บรรยากาศก็ยังมีเสน่ห์จนอดถ่ายภาพเก็บไว้ไม่ได้






วันหนึ่งในมอสโคว์จบลงแบบเหนื่อยแต่ใจฟู กับศิลปะ ประวัติศาสตร์ และความคิดสร้างสรรค์ที่กระจายอยู่ตามทางเดินใต้ดิน — แบบที่น้อยเมืองไหนจะทำให้เราได้สัมผัสขนาดนี้







Leave a Reply