ในวันที่สองของการเดินทางในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เราเลือกออกนอกเมืองเพื่อไปเยือนหนึ่งในพระราชวังที่งดงามและมีชื่อเสียงที่สุดของรัสเซีย — พระราชวังแคทเธอรีน (Catherine Palace) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองพุชกิน (Pushkin) หรือที่รู้จักในชื่อเดิมว่า “ซาร์สโกเย เซโล” (Tsarskoye Selo) เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งพักผ่อนฤดูร้อนของราชวงศ์รัสเซีย เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กประมาณ 25 กิโลเมตร และโอบล้อมไปด้วยสวนเขียวขจีและอาคารเก่าแก่ที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งอดีต
การเดินทาง
จากตัวเมือง เราเริ่มต้นการเดินทางโดยขึ้นรถไฟชานเมืองจากสถานี Vitebsky Station มุ่งหน้าสู่สถานี Tsarskoye Selo ใช้เวลาราว 30–40 นาที จากนั้นต่อรถบัสท้องถิ่นอีกไม่กี่นาทีก็ถึงทางเข้าพระราชวัง ระหว่างทางนั่งรถไฟ เราได้ชมวิวชนบทของรัสเซียที่เปลี่ยนไปจากความคึกคักในเมืองใหญ่ เป็นภาพของทุ่งหญ้ากว้าง สวนป่า และบ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิมที่ดูอบอุ่นและสงบ เรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์
พระราชวังแคทเธอรีน (Catherine Palace)
เมื่อก้าวเข้าสู่บริเวณพระราชวัง สิ่งแรกที่สะกดสายตาคืออาคารสีฟ้าอ่อนตัดกับกรอบสีขาวทองที่ส่องประกายภายใต้ท้องฟ้ากว้างใหญ่ อาคารหลักทอดตัวยาวเป็นร้อยเมตร ประดับด้วยองค์ประกอบสถาปัตยกรรมที่หรูหราในแบบบาโรกและโรโคโค หน้าต่างเรียงรายอย่างสมมาตร ซุ้มประตูโค้ง และลวดลายปูนปั้นล้วนเป็นงานศิลป์ที่ถ่ายทอดความโอ่อ่าของราชสำนักอย่างแท้จริง

ภายในพระราชวังประกอบด้วยห้องสำคัญหลายแห่ง แต่ห้องที่โด่งดังที่สุดคือ ห้องอำพัน (Amber Room) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก” ทั้งห้องตกแต่งด้วยแผ่นอำพันที่ผ่านการแกะสลักอย่างปราณีต ผสมผสานกับกระจกทองคำ และงานฝีมือระดับสูง ห้องนี้เคยสูญหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังถูกกองทัพนาซียึดครอง และเพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อย่างละเอียดตามแบบฉบับดั้งเดิม
พระราชวังแคทเธอรีนไม่ใช่เพียงสถานที่ประทับฤดูร้อนของราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีของชีวิตในราชสำนัก สถานที่จัดงานเลี้ยงสำคัญ พิธีการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ด้านหลังพระราชวังเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่งดงามด้วยทะเลสาบ สะพานหิน พาวิลเลียนกลางน้ำ และสวนเรขาคณิตที่ผสมผสานระหว่างความอ่อนช้อยแบบฝรั่งเศสกับเส้นสายอิสระแบบอังกฤษได้อย่างลงตัว









พระราชวังแคทเธอรีน ได้รับชื่อตาม พระนางแคทเธอรีนที่ 1 มเหสีของ พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 หลังจากพระเจ้าซาร์ปีเตอร์ทรงมีชัยในการเปลี่ยนแปลงรัสเซียเข้าสู่ความเป็นประเทศทันสมัยแบบตะวันตก พระนางแคทเธอรีนที่ 1 ผู้เคยเป็นหญิงสามัญชน ได้กลายมาเป็นจักรพรรดินีองค์แรกแห่งจักรวรรดิรัสเซียภายหลังการสวรรคตของพระสวามี ความรักของพระองค์ที่มีต่อสวนสงบและสถานที่พักผ่อนอันเงียบงาม จึงสะท้อนอยู่ในแนวคิดการออกแบบพระราชวังและสวนรอบด้านแห่งนี้









ต่อมาในรัชสมัยของ พระนางอลิซาเบธ พระราชธิดาของทั้งสอง พระราชวังแคทเธอรีนได้ถูกปรับโฉมครั้งใหญ่ กลายเป็นพระราชวังที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป โดยฝีมือของสถาปนิกชาวอิตาเลียน Bartolomeo Rastrelli ผู้เป็นคนออกแบบโครงสร้างใหม่ในแบบ โรโคโค (Rococo) ให้มีระเบียงเสารับแสง พระแสงสีทองโดดเด่น และรายละเอียดที่หรูหราอลังการ จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์รัสเซีย
ในเวลาต่อมา พระราชวังแห่งนี้ยังคงได้รับความสำคัญในยุคของ พระนางแคทเธอรีนที่ 2 หรือ พระนางแคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great) จักรพรรดินีผู้เป็นหนึ่งในผู้นำหญิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้ครองอำนาจ แต่ยังทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะ วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ และปรัชญา ทรงหลงใหลในอารยธรรมยุโรปตะวันตก และพยายามผลักดันให้รัสเซียมีบทบาทโดดเด่นในเวทีโลก พระนางทรงใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นฉากหลังของชีวิตในราชสำนัก และงานเลี้ยงต้อนรับราชทูตจากนานาชาติ
แม้พระนางแคทเธอรีนที่ 1 และพระนางแคทเธอรีนที่ 2 จะมีพระนามเหมือนกัน แต่ความเกี่ยวข้องของทั้งสองหาใช่สายเลือดไม่ — พระนางแคทเธอรีนที่ 2 หรือที่รู้จักในพระนาม Catherine the Great นั้น ทรงมีเชื้อสายเยอรมัน และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์รัสเซียโดยการเสกสมรสกับ พระเจ้าซาร์ปีเตอร์ที่ 3 ผู้เป็นพระราชนัดดาของพระนางแคทเธอรีนที่ 1 ผ่านทางสายพระราชโอรสของพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช กล่าวคือ แคทเธอรีนที่ 2 เป็นจักรพรรดินีโดยสมรส มิใช่ทายาทสายตรง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถ และบทบาทในประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ จึงกลายเป็นพระนางที่มีความสำคัญยิ่งในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซียเทียบเท่าหรือยิ่งกว่าพระนางผู้มีพระนามเดียวกัน

พระนางแคทเธอรีนที่ 2 หรือ Catherine the Great
พระนางแคทเธอรีนที่ 2 หรือ Catherine the Great ทรงเป็นจักรพรรดินีผู้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของรัสเซียอย่างแท้จริง พระองค์ไม่เพียงขึ้นครองราชย์หลังรัฐประหารพระสวามี แต่ยังทรงนำพารัสเซียสู่ยุคทองแห่งการปฏิรูปและขยายอาณาเขต
ภายใต้รัชสมัยของพระองค์ (ค.ศ. 1762–1796) รัสเซียเติบโตทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม พระนางทรงมีบทบาทสำคัญในการยึดดินแดนจากอาณาจักรออตโตมัน ขยายอิทธิพลลงทะเลดำ และผนวกรวมโปแลนด์บางส่วนเข้ามาเป็นของรัสเซีย พระองค์ยังเป็นผู้อุปถัมภ์นักปรัชญายุค Enlightenment เช่น วอลแตร์ และดิดโรต์ สนับสนุนการก่อตั้งห้องสมุด โรงเรียน และมหาวิทยาลัยใหม่ รวมถึงสนับสนุนให้มีการปฏิรูประบบกฎหมายให้ทันสมัย ทรงส่งเสริมการศึกษาของสตรี และวางรากฐานให้รัสเซียกลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรป
แม้การปกครองจะยังคงระบบเจ้าขุนมูลนาย แต่พระนางแคทเธอรีนที่ 2 ก็ได้จารึกพระนามไว้ในฐานะสตรีเหล็กผู้ยกระดับรัสเซียจากชาติชนบทสู่จักรวรรดิอารยะ พระองค์ยังทรงจัดตั้งสถาบันศิลปะ พิพิธภัณฑ์ และสนับสนุนศิลปินทั้งชาวรัสเซียและต่างประเทศ จนทำให้วัฒนธรรมรัสเซียในยุคนั้นเฟื่องฟูถึงขีดสุด และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป
เมื่อเดินอยู่ภายใต้เพดานทองคำและห้องโถงที่สะท้อนแสงระยิบระยับของพระราชวังแห่งนี้ ก็เหมือนได้สัมผัสเงาของบุคคลทั้งสองผู้เป็นเสาหลักของประวัติศาสตร์รัสเซีย — แคทเธอรีนผู้เริ่มต้น และแคทเธอรีนผู้ยิ่งใหญ่
การมาเยือนพระราชวังแคทเธอรีนจึงไม่ใช่แค่การชมสถานที่งดงาม แต่ยังเป็นการเดินผ่านห้วงประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยมีบทบาทต่อทิศทางของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ ทุกย่างก้าวที่เดินบนพื้นไม้ขัดเงา หรือมองผ่านหน้าต่างสูงที่แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามา คือการย้อนรอยอดีตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งอำนาจ ศิลปะ และความรุ่งเรือง

เราออกจากบริเวณสวนด้านหลัง และบังเอิญพบกับอาคารหลังน้อยสีชมพูพาสเทลสะดุดตาท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม นั่นคือ โบสถ์เชสม (Chesme Church) หรือชื่อเต็มว่า Church of Saint John the Baptist at Chesme Palace โบสถ์เล็กแต่โดดเด่นแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1780–1788 โดยพระบัญชาของพระนางแคทเธอรีนที่ 2 เพื่อระลึกถึงชัยชนะของรัสเซียในการรบที่อ่าวเชสมกับจักรวรรดิออตโตมัน
โบสถ์แห่งนี้เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโกธิกผสมบาโรกที่หาได้ยากในรัสเซีย สีชมพูและขาวที่ตกแต่งด้านนอกชวนให้นึกถึงขนมหวานในเทพนิยาย และลวดลายที่ประณีตทำให้ดูราวกับเป็นโบสถ์ในหนังสือนิทาน ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ พระราชวังเชสม (Chesme Palace) ซึ่งปัจจุบันไม่หลงเหลือแล้ว เหลือเพียงโบสถ์หลังนี้ที่ยังคงเป็นเครื่องเตือนความทรงจำถึงชัยชนะ และรสนิยมทางศิลปะของจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่







Leave a Reply