การเดินทางกลางคืนในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มักแฝงไว้ด้วยความไม่แน่นอน
และถึงแม้คืนนี้เราจะมาถึงคัชการ์ได้อย่างปลอดภัยในเวลาราวหกชั่วโมงจากด่าน Khunjerab — ฉันก็ยังรู้สึกว่า ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพราะเส้นทางที่ไม่รู้จักนั้น ไม่ได้มาพร้อมแค่ความมืด แต่ยังมาพร้อมความเสี่ยงที่ยากคาดเดา
คนขับรถรีบเร่งเหมือนอยากให้ถึงที่หมายเร็วที่สุด… บางช่วงรถเสียขวางถนน บางช่วงเบรกแรงแบบไม่ให้ตั้งตัว หรือทางขรุขระจนนั่งแล้วก้นชา แต่ถ้าเป็นถนนเรียบเมื่อไร เขาก็เร่งความเร็วเสียจนเหมือนรถกำลังเหาะมากกว่าจะวิ่ง ฉันเลยตัดสินใจปิดตานอนเสียเลย หวังให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น — หนึ่งบทเรียนของคืนนี้คือ อย่ารับคนแปลกหน้าเพิ่มในรถโดยไม่จำเป็น เพราะมันอาจนำพาความเสี่ยงที่ไม่ควรเกิด ซึ่งคนขับชาวจีนของเราก็ทำตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง…
ประสบการณ์กับคนจีนรอบนี้ไม่ค่อยดีนัก ทั้งที่ด่าน คนขับรถ หรือแม้แต่ไกด์ก็ดูจะไม่สร้างความประทับใจเท่าไร
อัลตาฟเองก็เหมือนจะรู้สึกไม่ต่างกัน ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มดูเคร่งเครียดตั้งแต่ย่างเข้าสู่แดนจีน เหมือนเขาเก็บบางอย่างไว้ในใจ
ตีสี่ในคัชการ์: โรงแรมกลางความเหนื่อยล้า
เรามาถึงโรงแรมในคัชการ์ตอนตีสี่ของเวลาจีน ซึ่งเร็วกว่าปากีสถานถึงสองชั่วโมง วุ่นวายกันเล็กน้อยกับการเช็กอิน รอห้อง นัดเวลาออกทัวร์และอาหารเช้าวันถัดไป พอได้กุญแจห้อง ฉันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากเตียงนุ่มๆ ตรงหน้า ความง่วง ความเมื่อย และความวุ่นวายระหว่างทางก็พัดหายไปพร้อมกับสติที่กำลังหลับใหล
ตื่นมาอีกทีสายเกือบสิบโมง ไม่ทันอาหารเช้าที่โรงแรมด้วยซ้ำ อัลตาฟเลยต้องพาออกไปกินข้างนอก ซึ่งก็กลายเป็นอีกบทพิสูจน์ของความพยายามในการ “กินให้อยู่รอด”
มื้อเช้าแห่งเนื้อแพะและกลิ่นสาบ
ร้านอาหารที่เราไป เต็มไปด้วยเมนูแพะ โมโม่ บะหมี่ เนื้อย่าง และแม้แต่นกพิราบ กลิ่นสาบโชยมาแต่ไกลจนฉันกินไม่ลงเลยจริงๆ สุดท้ายมื้อนี้กลายเป็นมื้อที่อัลตาฟต้องควักเงินจ่าย ทั้งที่ไม่น่าจะต้องเสียเลยด้วยซ้ำ
เส้นทางเมืองเก่า: มัสยิด ตลาด และจิตวิญญาณของอุยกูร์
ช่วงสายเราเริ่มต้นการเดินเที่ยวคัชการ์กับไกด์ท้องถิ่น พาเราเข้าสู่เส้นทางเมืองเก่า (Old City) ที่ยังคงกลิ่นอายของเส้นทางสายไหมในอดีตไว้อย่างชัดเจน
บ้านดินสีอุ่นที่สร้างเรียงรายตามซอยแคบ ๆ เต็มไปด้วยชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวอุยกูร์ บางบ้านมีลวดลายฉลุหน้าต่างสวยงาม บางมุมเป็นร้านขายขนมปังอบจากเตาดินที่ส่งกลิ่นหอม เราชมมัสยิดกลางเมือง สุสานเก่า และตลาดพื้นเมืองที่มีทั้งของใช้ งานหัตถกรรม และอาหารท้องถิ่น
ภาพที่ตราตรึงใจคือชายชราคนหนึ่งกำลังปั้นหม้อด้วยมือเปล่าใต้ชายคาเงียบๆ การเคลื่อนไหวของเขาสงบแต่มั่นคง เหมือนกำลังสร้างศิลปะที่สืบทอดมาหลายชั่วคน
อดีตที่นี่เคยเป็นจุดแวะพักของกองคาราวานจากจีนสู่อุซเบกิสถาน ผ่านเส้นทางสายไหม
วันนี้ แม้จะมีตึกใหม่ ถนนใหญ่ และผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติหลั่งไหลเข้ามา แต่วิญญาณของเมืองเก่ายังคงยืนหยัดอยู่ในรอยยิ้ม ในเสียงสวด และในงานฝีมือที่ยังไม่สูญหาย



เสียงกร๊อบแกร๊บจากฟ้าสูง: ชิงช้าสวรรค์ยามเย็น
ช่วงเย็นเราขึ้นชิงช้าสวรรค์เก่า ๆ เพื่อชมวิวเมืองจากมุมสูง ตัวโครงเหล็กส่งเสียงกร๊อบแกร๊บทุกครั้งที่หมุนผ่าน ทำเอาหวาดเสียวไม่น้อย แต่พอขึ้นไปถึงยอดสูงสุด กลับได้เห็นภาพเมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งตึกใหม่และบ้านดินเก่า ๆ อยู่ร่วมกันเหมือนภาพวาดหลากเฉด
ลงจากชิงช้า เรากระโดดขึ้นรถสามล้อกระบะเล็ก ๆ วนหาของกินเย็นรอบเมือง
สุดท้ายไปจบที่ร้านอาหารหรูที่สุดของคัชการ์ มื้อนี้เราขอเป็นฝ่ายเลี้ยงอัลตาฟบ้าง เพื่อปลอบใจเขาที่น่าจะเหนื่อยเกินงบไปไม่น้อย
หลังมื้อนั้น ใบหน้าอัลตาฟดูผ่อนคลายขึ้น เขากลับมายิ้มและพูดมากกว่าเดิมเล็กน้อย
บางครั้งแค่ “มื้ออาหารดี ๆ” ก็ช่วยเยียวยาได้มากกว่าที่คิด


เมืองคัชการ์ และผู้คนที่ไม่ยอมลืมรากเหง้า
คัชการ์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน ยังคงเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชาวอุยกูร์ แม้จะมีแรงกดดันจากการผสมกลมกลืนของชนชาติจีนฮั่นที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง พื้นที่เมืองเก่าถูกเบียดบังด้วยโครงการพัฒนา แต่ชาวพื้นเมืองยังคงรักษาวิถีชีวิตของตนไว้อย่างเหนียวแน่น
ฉันได้คุยกับไกด์ถึงเรื่องนี้ เขาพูดด้วยแววตาแน่วแน่ว่า จะไม่ยอมสูญเสียจิตวิญญาณของอุยกูร์ให้ใครง่ายๆ แตกต่างจากไกด์ที่ฉันเคยเจอในทิเบต ที่มองว่าการยอมรับความเปลี่ยนแปลงคือโอกาสใหม่ของครอบครัว
สองมุมคิด ไม่มีใครผิดหรือถูก เพราะเงื่อนไขชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
โลกเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่ว่าจะด้วยฝีมือของธรรมชาติหรือมนุษย์
แต่สิ่งที่คนเราต้องเลือกเสมอ คือการยืนหยัดเพื่อมีชีวิตต่อไป







Leave a Reply