เป็นอีกวันหนึ่งของทริปที่ร่างกายถูกท้าทายอย่างหนัก—นั่งรถยาวต่อเนื่องจนเริ่มสงสัยว่าตรูดเราจะยังอยู่ดีไหม ทริปนี้คงจะได้ตำแหน่ง “ตรูดบานแห่งปี” ไปครองแน่นอน เพราะตอนนี้เรากำลังอยู่บนรถที่แล่นจากชายแดนจีนไปยังคัชการ์ ใช้เวลาอีก 5 ชั่วโมง… ซึ่งก็ไม่น่าจะต่างจากวันก่อนหน้าที่เรานั่งรถจนขาชา
เมื่อคืนได้นอนเต็มอิ่มที่เมือง Sost เมืองชายแดนเล็ก ๆ ทางตอนเหนือสุดของปากีสถาน ตื่นเช้ามาเก็บของแบบเรื่อย ๆ เพราะนัดออกจากโรงแรมตอน 9 โมงเช้า ด่านออกก็อยู่ฝั่งตรงข้ามแค่ถนนเดียวเอง
ขาออกจากปากีสถานราบรื่นเกินคาด ต้องขอบคุณ “อัลตาฟ” ไกด์ท้องถิ่นผู้เก่งเรื่องเจรจาและมีบารมีพอตัว ช่วยให้เราข้ามขั้นตอนและแซงคิวได้แบบไม่ต้องลุ้นอะไรนัก
วิวระหว่างด่านปากีสถานไปจีนงดงามไม่แพ้กัน เส้นทางไต่ระดับขึ้นสู่ Khunjerab Pass — เส้นทางผ่านแดนที่สูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ด้วยระดับความสูงกว่า 4,693 เมตร จากระดับน้ำทะเล สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาหินสูงใหญ่ ตัดกับยอดขาวโพลนจากหิมะที่เกาะอยู่หนาแน่น บางช่วงของถนนราวกับขับอยู่บนสันโลก ท่ามกลางท้องฟ้ากว้างไกลและอากาศบางเบา นี่คือความยิ่งใหญ่ที่ธรรมชาติมอบให้แบบไม่มีคำบรรยายพอจะสื่อได้
แต่เมื่อรถจอดสนิทลงตรงด่านจีน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ชายแดนปากีสถาน – จีน
เจ้าหน้าที่จีนหน้าตี๋ในเครื่องแบบที่ดูเคร่งขรึม พาเราสู่โลกของกฎระเบียบที่แน่นหนาราวกับกำลังเข้าสู่เขตแดนลับแลของโลกแห่งความลับ
พวกเรานั่งรออยู่ในรถตั้งแต่เที่ยงจนบ่ายสาม ห้ามลง ห้ามลุก ห้ามถาม ได้แต่รอคำสั่งเหมือนนักเรียนโดนทำโทษ ขณะที่ชาวจีนอีกฝั่งหนึ่งซึ่งกำลังจะเดินทางเข้าสู่ปากีสถานกลับเดินเล่น ถือกล้องถ่ายรูปสบายใจ บางคนยกกล้องมาจะถ่ายภาพเราราวกับพวกเราเป็นสัตว์หายากในสวนสัตว์
เราโบกมือห้าม พูดเสียงแข็งและทำหน้าตาไม่พอใจ พวกเขาจึงยอมเดินถอยไป… บรรยากาศตึงเครียดแบบแปลก ๆ ที่ทำให้รู้สึกไม่ใช่แค่ร่างกายที่เมื่อยล้า แต่จิตใจก็ถูกบีบคั้นไปด้วย
หลังจากผ่านการตรวจสัมภาระรอบแรก ก็ได้ขึ้นรถต่อไปยังด่านถัดไป ใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมง…
ข้ามแดนสู่จีน: ความเวิ้งว้างที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน
หากใครเคยข้ามแดนทางรถยนต์ในยุโรป หรือแม้แต่ในบ้านเราหรือประเทศเพื่อนบ้าน อาจคุ้นกับภาพของด่านตรวจเล็ก ๆ มีเจ้าหน้าที่สองสามคนตรวจกระเป๋า ปั๊มพาสปอร์ต แล้วก็ขับต่อไปได้เลย
แต่การข้ามแดนระหว่าง ปากีสถาน กับ จีน มันต่างออกไปมาก จนทำเอาฉันอึ้ง…
หลังจากผ่านพิธีการฝั่งปากีสถานมาเรียบร้อย เรานั่งรถไปยังประตูเหล็กขนาดใหญ่ของจีน ที่ทอดตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาสูงใหญ่และลมแรงที่ตีหน้าจนชา ข้างหน้าคือสำนักงานเล็ก ๆ ของเจ้าหน้าที่จีน ซึ่งดูจะไม่เน้นความสะดวกสบายเท่าไร แต่เต็มไปด้วยระเบียบและความเคร่งครัด เราถูกสแกนสัมภาระ ตรวจพาสปอร์ตอย่างละเอียด คิดว่าเสร็จแล้วก็จะได้เดินทางต่อแบบอิสระเหมือนเคย…แต่เปล่าเลย
“คุณต้องนั่งรถต่อไปอีก 3 ชั่วโมง เพื่อไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เมือง Tashkurgan“
เจ้าหน้าที่แจ้งด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ก่อนที่ทหารจีนสองนายจะขึ้นมานั่งประกบในรถอย่างเงียบ ๆ
รถเคลื่อนตัวช้า ๆ ออกจากด่าน ทิ้งเส้นแบ่งแดนไว้เบื้องหลัง เราเข้าสู่เส้นทางที่เงียบงันและเวิ้งว้าง ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีรถสวน หรือแม้แต่ร่องรอยของผู้คนที่สัญจร เหมือนพื้นที่ตรงนี้ถูกปล่อยไว้เป็น “กันชน” อย่างจงใจ
ที่นี่คือ เขตปกครองตนเองซินเจียง ทางตะวันตกของจีน ซึ่งมีความอ่อนไหวทางการเมืองและวัฒนธรรมสูง พื้นที่ชายแดนจึงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ด่านที่เราเพิ่งผ่านมาไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางเข้าสู่ความลึกของจีนจริง ๆ
เรานั่งนิ่งบนรถ แม้สองข้างทางจะงดงามราวอยู่ในสารคดีธรรมชาติ—ภูเขาหิมะสูงตระหง่าน ผืนดินแห้งแล้งทอดยาวสุดตา แต่ไม่มีใครกล้าหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย ไม่กล้าล้วงมือในกระเป๋า เพราะกลัวทหารจะเข้าใจผิด แค่หันไปสบตาก็รู้สึกเหมือนทำผิดอะไรบางอย่างเข้าให้แล้ว
ช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ใน “สุญญากาศระหว่างประเทศ” เป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่ที่ของใคร ไม่มีอิสระ ไม่มีตัวตน มีแต่ความเงียบ ความเย็น และสายตาของผู้คุมที่คอยจับจ้อง
และนี่คือด่าน immigration ที่แท้จริง
ที่นี่ ความรู้สึกเหมือน “ทดสอบระดับความอดทน” ยิ่งเข้มข้น โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างฉัน
ฉันถูกเจ้าหน้าที่หญิงพาเข้าห้องตรวจร่างกายแบบละเอียดที่สุดตั้งแต่เคยเดินทางมา เขาลูบคลำหน้าอก สั่งให้ถลกกางเกง ตรวจพุง ถอดรองเท้า เรียกว่าถูกเช็กทุกจุดเหมือนกลัวว่าจะมีอะไรฝังอยู่ในตัวฉันจริง ๆ รู้สึกเหมือนเสียตัวให้ระบบราชการจีนไปหนึ่งรอบ
ในขณะที่หนุ่ม ๆ ที่เดินทางมาด้วยกันกลับบอกว่า “โดนตรวจธรรมดา ไม่มีอะไรเลย” คิดว่าคงเพราะผู้หญิงที่เดินทางผ่านด่านนี้ยังมีน้อย เลยถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ
ขั้นตอนประทับตราก็ยังคงละเอียดช้าสุด ๆ จนแม้แต่อัลตาฟยังทำหน้าเซ็ง
เมื่อผ่านขั้นตอนทั้งหมดเสร็จ เราได้เข้าห้องน้ำ… ในที่สุด! เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ชั่วโมง ตั้งแต่ด่านฝั่งปากีสถานจนมาถึงด่านจีน ไม่มีห้องน้ำระหว่างทางเลย และที่สำคัญคือ ต่อให้ขอเข้าก็ไม่ให้เข้าด้วย
ตอนนี้เรานั่งอยู่บนรถอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่เมืองคัชการ์ จุดหมายปลายทางในฝั่งซินเจียง ที่รอเราด้วย แพะย่างร้อน ๆ และก๋วยเตี๋ยวเนื้อหอมฉุย ตอนสามทุ่ม
เหนื่อยมาก… แต่ก็เป็นวันที่จะไม่มีวันลืมได้ง่าย ๆ
บันทึกเดินทาง 4-9-2013









Leave a Reply