กว่าจะได้นอนเมื่อคืนก็ตีสองเข้าไปแล้ว แต่ตอนเช้าก็ยังต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางตอนหกโมงเช้า — เพราะวันนี้เราต้องวิ่งยาวกว่า 500 กิโลเมตร ผ่านภูมิประเทศสุดท้าทายตลอดแนวเทือกเขาฮินดูกูชและหิมาลัยตอนล่าง ใช้เวลากว่า 16 ชั่วโมงเต็ม ๆ กว่าจะถึงจุดหมายที่เมือง Chilas
ฉันรู้สึกดีนิดหน่อยที่วันนี้ได้นั่งเบาะหลังคนเดียว — ได้เหยียดยาว นอนหลับไปบ้างในช่วงที่ถนนไม่กระแทกจนตัวลอย ถึงจะโยกเยกอยู่หลายจังหวะ แต่ก็ยังดีกว่านั่งเบียดแน่น
สองข้างทางผ่านเมืองเล็กเมืองน้อย ผู้คนพลุกพล่าน คึกคักกว่าที่คิดไว้มาก — มีตลาดริมถนน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ พ่อค้าแม่ขายตะโกนเรียกลูกค้า รถที่วิ่งสวนไปมาเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างอลังการ สีสันฉูดฉาดลวดลายแน่นตั้งแต่หัวรถยันล้อ คล้ายศิลปะเคลื่อนที่ที่มีเฉพาะในปากีสถาน รถพวกนี้ใช้งานกันมายาวนานหลายสิบปี จนกลายเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของประเทศนี้ไปแล้ว



พอได้สังเกตดี ๆ จะเห็นร้านซ่อมรถ ปะยาง กระจายอยู่ตลอดเส้นทาง — ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะถนนช่วงแรก ๆ ค่อนข้างขรุขระ และรถเหล่านี้ก็ผ่านศึกมาหนักหนาเหมือนกัน

ประมาณบ่ายสอง เราก็มาถึงเมือง Besham ซึ่งเป็นจุดตรวจสำคัญก่อนจะเข้าสู่เส้นทางเขา ตำรวจที่นี่ตรวจเข้มมาก — ไม่ใช่แค่เช็คหนังสือเดินทาง แต่ยังมีการส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นรถไปกับเรา เพื่อดูแลความปลอดภัยตลอดช่วงทางไปจนถึงเมือง Chilas จุดหมายของวันนี้
จาก Besham ไป Chilas เส้นทางเริ่มไต่ระดับขึ้นสันเขา ถนนแคบคดเคี้ยวเลียบแม่น้ำสินธุที่ไหลเชี่ยวอยู่เบื้องล่าง เบรกนิดเดียวก็เหมือนจะตกลงไปในหุบเหว ทุกโค้งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และความงดงามของธรรมชาติแบบดิบ ๆ
เส้นทางนี้ไม่เคยเงียบเหงา — เพราะยังมีรถผ่านไปมาตลอด กับบ้านเรือนที่กระจายตัวอยู่ริมทาง บางช่วงถนนดูใหม่ บางช่วงกำลังปรับปรุงซ่อมแซม แต่โดยรวมก็ถือว่าดีเกินคาด เราต้องผ่านจุดตรวจหลายแห่ง โดยเฉพาะด่านใหญ่ที่ถึงขั้นต้องถ่ายรูปผู้โดยสารเก็บไว้ เพื่อใช้ตรวจสอบตอนขากลับด้วย
เรื่องนี้คงเป็นผลจากเหตุการณ์เศร้าเมื่อสองเดือนก่อน ที่มีนักปีนเขาถูกลอบสังหารในพื้นที่ใกล้เคียง — ทำให้รัฐบาลต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มข้นขึ้น นักท่องเที่ยวจึงได้รับการดูแลอย่างดี แม้จะดูยุ่งยากบ้าง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าทำเพื่อความปลอดภัยของพวกเราทุกคน
พอเริ่มมืด ความเหนื่อยก็เริ่มสะสม — รถยังคงไต่ระดับไปตามไหล่เขาเรื่อย ๆ จนในที่สุด เราก็มาถึงโรงแรมตอนสี่ทุ่ม พร้อมเสียงถอนหายใจโล่งอกและเสียง “เย้ เย้” ออกมาจากหลายคนในรถ
แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างจะราบรื่น…
ฉันเริ่มสังเกตว่าในสังคมปากีสถาน ผู้หญิงมักไม่ปรากฏตัวในพื้นที่สาธารณะ — แทบไม่มีให้เห็นเลยตามข้างถนนหรือร้านอาหาร มีแต่ผู้ชายและเด็กชายเต็มไปหมด ผู้หญิงส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน ทำกิจกรรมในครัวเรือน การแต่งกายของพวกเขายังเป็นแบบดั้งเดิม สวมผ้าคลุมทั้งตัวจนแทบไม่เห็นแม้แต่ดวงตา
พวกเราที่เป็นผู้หญิงนักท่องเที่ยวจึงกลายเป็นเป้าสายตา — โดยเฉพาะตอนเข้าร้านอาหารเพื่อขอใช้ห้องน้ำ เหมือนพวกเขาไม่ค่อยชินกับผู้หญิงที่เดินทางมาไกล หรือเปิดเผยตัวเองในพื้นที่สาธารณะมากนัก
ก็อดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อยากให้ความกังวลนั้นมาบดบังความสนุกและการเปิดใจเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง มันอาจเป็นอีกบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ — ว่าการเดินทางไม่ได้มีแค่วิวสวย แต่ยังพาเราไปเจอความคิด ความเชื่อ และ “กรอบ” ของอีกสังคมหนึ่ง







Leave a Reply