การเดินทางครั้งนี้ พวกเราวางแผนกันมาเป็นปี ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไปสัมผัสเทือกเขาอัลไตในมองโกเลียให้ได้ แต่เมื่อเดินทางมาถึง ทุกอย่างกลับต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน อุทยานแห่งชาติ Tavan Bogd ถูกปิด เนื่องจากเจ้าหน้าที่กังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์วัวตายในพื้นที่ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคระบาด พวกเราจึงต้องปรับแผนกันใหม่อย่างสิ้นเชิง
แทนที่จะเดินเขาตามที่ตั้งใจไว้ พวกเรากลับกลายเป็นนักเดินทางเร่ร่อนอย่างแท้จริง ขับรถลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้าสเต็ปป์อันกว้างใหญ่ มีฉากหลังเป็นขุนเขาสูงเสียดฟ้า ยอดปกคลุมด้วยหิมะ ทะเลสาบน้อยใหญ่กระจายตัวอยู่ทั่วไป ราวกับอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง พวกเราเคลื่อนย้ายที่พักทุกวัน ไม่ต่างจากชนเผ่าเร่ร่อนของมองโกเลีย ต้องเผชิญทั้งอากาศร้อน ลมแรง หนาวเหน็บ ฝนตกโปรยปรายไปจนถึงพายุฝนกระหน่ำหนัก ท้องฟ้าเปลี่ยนจากครึ้มมืดเป็นใสกระจ่างในพริบตา
วิถีชีวิตชนเผ่าเร่ร่อน
ชาวมองโกลที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนใช้ชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ พวกเขาย้ายที่อยู่ปีละ 2-4 ครั้ง ตามสภาพอากาศและความอุดมสมบูรณ์ของทุ่งหญ้า ซึ่งเป็นอาหารของสัตว์เลี้ยงอย่างวัว แพะ แกะ ม้า และอูฐ สัตว์เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ทรัพยากรสำคัญในการดำรงชีพ แต่ยังเป็นทั้งอาหาร นม พลังงาน และพาหนะ
บ้านของพวกเขาคือ “เกอร์” เต็นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ที่แข็งแรงและสามารถรื้อถอนเพื่อเคลื่อนย้ายได้ง่าย ภายในอบอุ่นแม้ในฤดูหนาว และเป็นศูนย์กลางของครอบครัว ใช้ทำอาหาร รับแขก และพักผ่อน พวกเขามีวิถีชีวิตเรียบง่าย แต่ต้องอาศัยความอดทนและความชำนาญในการดำรงชีพกลางธรรมชาติ การเลี้ยงสัตว์เป็นงานที่ต้องทำทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผู้หญิงมีหน้าที่รีดนม ทำเนย และโยเกิร์ต ส่วนผู้ชายดูแลฝูงสัตว์ ออกล่าสัตว์ และหาเสบียงสำหรับครอบครัว
ชีวิตเร่ร่อนของพวกเรา
แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่การเดินทางครั้งนี้ทำให้พวกเราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตเร่ร่อนอย่างแท้จริง พวกเราไม่ได้ย้ายที่แค่ 2-4 ครั้งต่อปี แต่ 7 วัน 7 คืนที่เดินทาง พวกเราเปลี่ยนที่นอนไม่ซ้ำกันเลย! คืนหนึ่งริมทะเลสาบ อีกคืนริมแม่น้ำ บางวันกลางทุ่งหญ้า บางวันบนเนินเขา ทุกที่ล้วนมีเสน่ห์และบรรยากาศที่แตกต่างกัน
จากที่กางเต็นท์ไม่เป็น ตอนนี้พวกเรากลายเป็นมืออาชีพในเรื่องนี้ไปแล้ว เดี๋ยวกาง เดี๋ยวเก็บ ทุกคนช่วยกันเป็นทีม กิจกรรมหลัก ๆ ของพวกเราไม่มีอะไรมาก นอกจากขับรถหาที่นอน ที่กิน ที่วิ่งเล่น จนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝูงสัตว์ที่มีไกด์เป็นคนต้อนพวกเราไปเรื่อย ๆ
เส้นทางที่พวกเราเดินทางผ่านนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่มีถนนลาดยาง มีเพียงร่องรอยทางเดินของรถที่มาก่อน กระเด้งกระดอนเหมือนกำลังขี่ม้าหรืออูฐ ลุยลำธารแม่น้ำ ทั้งลากทั้งดึงรถจนเป็นเรื่องปกติ บางครั้งต้องหยุดเปลี่ยนยางหรือซ่อมรถ พวกเราก็ใช้เวลานั้นนั่งทานข้าว วิ่งเล่น หรือถ่ายรูปในทุ่งดอกไม้ป่าที่มีสีสันสดใส บางวันโชคดีท้องฟ้ากระจ่าง แดดสดใส บางวันกลับต้องหลบฝนอยู่ในเต็นท์ เฝ้ารอให้แดดออกอีกครั้ง
บางคืนที่นอนกลางทุ่งอันเวิ้งว้าง พวกเราได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ทางช้างเผือกทอดยาวเหนือหัว รู้สึกถึงความเป็นอิสระและความเล็กจ้อยของตัวเองเมื่อเทียบกับจักรวาล มันเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบและลึกซึ้งที่สุดของการเดินทาง
ธรรมชาติ ความเรียบง่าย และน้ำใจของชาวมองโกล
แม้การเดินทางของพวกเราจะเต็มไปด้วยความสนุกสนานและการผจญภัย แต่เมื่อมองไปยังชีวิตจริงของชาวมองโกลเร่ร่อน พวกเขาไม่ได้มีอิสระสนุกสนานเหมือนที่พวกเรารู้สึก การใช้ชีวิตกลางธรรมชาติที่ดูสวยงามนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย พวกเขาต้องเลี้ยงสัตว์ ดูแลครอบครัว ทำอาหาร เก็บมูลสัตว์ไว้ใช้เป็นเชื้อเพลิง และสำรองน้ำไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่ฉันประทับใจมากที่สุดคือความแข็งแกร่งของพวกเขา ความซื่อสัตย์ และน้ำใจของชาวมองโกล เด็ก ๆ ที่นี่เติบโตขึ้นท่ามกลางธรรมชาติ พวกเขาไม่ได้เล่นโทรศัพท์หรือดูจอทั้งวันเหมือนเด็กในเมือง แต่ใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ ขี่ม้า ช่วยงานครอบครัว และเรียนรู้ที่จะเคารพธรรมชาติในทุก ๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าใส หรือพายุร้าย
พวกเราที่มาเยือนในฐานะนักเดินทาง ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวมองโกล พวกเขาแบ่งปันอาหาร บอกเล่าเรื่องราว และทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่แท้จริง แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าและยากจะลืมเลือน
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ให้แค่ภาพที่งดงามของธรรมชาติ แต่มันสอนให้พวกเราเข้าใจถึงความหมายของชีวิตที่เรียบง่าย พอเพียง และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน สิ่งเหล่านี้คือบทเรียนล้ำค่าที่ไม่มีในหนังสือ แต่ต้องออกเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น







Leave a Reply