ออกจาก เมืองออยกี เราขับรถมุ่งหน้าสู่ เขตทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ก่อนเข้าไปต้องผ่านจุดคัดกรอง ฆ่าเชื้อทำความสะอาด รถทุกคันต้องลุยแอ่งน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อล้างล้อกันเชื้อโรคหรือเมล็ดพันธุ์ต่างถิ่น ส่วนพวกเราก็ต้องลงจากรถไปเหยียบถาดน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนขึ้นรถใหม่ รู้สึกเหมือนเป็นพิธีกรรมก่อนเข้าสู่โลกอีกใบ
จากนั้นเราก็ลุยทุ่งหญ้ากันยาว ๆ ถนนดินทอดไปไกลสุดสายตา ตัดผ่านเนินเขา สลับกับฝูงวัวและม้าที่เดินเล็มหญ้า ลมเย็น ๆ พัดผ่านตลอดทาง
เก็บภาพแรกของทะเลสาบ
พอถึงจุดพักแรม ฉันแทบจะกระโดดลงจากรถ ภาพเบื้องหน้าทำให้ตื่นเต้นจนต้องรีบคว้ากล้อง—ทะเลสาบกว้างใหญ่ นิ่งสงบเหมือนกระจก ตัดกับขอบฟ้าและทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ฉันปีนขึ้นไปบน เนินหินริมทะเลสาบ มองไปรอบ ๆ ลมเย็นปะทะหน้า หัวใจพองโตด้วยความรู้สึกอิสระ
กดชัตเตอร์ไปสองสามรูป ก่อนจะหยุดแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยตาตัวเองจริง ๆ บางภาพสวยเกินกว่าที่กล้องจะเก็บไว้ได้
กางเต็นท์เองครั้งแรกในรอบหลายปี
พอกลับมาที่จุดพัก เห็นกองเต็นท์วางอยู่เรียบร้อย แต่ไม่มีใครกางให้ เดวิดบอกว่า “กางกันเองนะ” เอาล่ะสิ—จากที่เคยเที่ยวแบบมีคนจัดการให้หมด วันนี้ต้องลงมือเอง คนขับรถเปิดท้ายให้พวกเราหยิบกระเป๋า ส่วนพวกเขาแค่ช่วยขนเต็นท์มากองไว้แล้วไปช่วยกันกางเต็นท์กลาง
บางคนบ่นอุบ ไม่เคยกางเต็นท์เลย ส่วนฉันไม่ได้แตะเรื่องนี้มาสองทศวรรษ พยายามนึกให้ออกว่าต้องเริ่มตรงไหน ก่อนจะตัดสินใจยืนดูเพื่อนข้าง ๆ จนพอเข้าใจ แล้วค่อย ๆ ลองทำเอง งมไปพักใหญ่ เดวิดเห็นท่าไม่ดีเลยต้องเข้ามาสอน
สุดท้าย เราช่วยกันคนละไม้ละมือ จนเต็นท์ทุกหลังเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับที่ฟ้ามืดลงและเมฆฝนเริ่มเคลื่อนเข้ามา
เสียงเดวิดเรียกให้ไปทานอาหารในเต็นท์กลาง ฉันหันไปมองทะเลสาบอีกครั้ง ลมพัดแรงขึ้นเล็กน้อย คืนนี้อาจไม่ใช่คืนที่สะดวกสบายที่สุด แต่มันคือการเริ่มต้นของการเดินทางที่แตกต่างจากที่เคยรู้จัก








Leave a Reply