Nim Journey

A Legend of Travel

การเดินทางสู่มองโกเลียตะวันตก: จากกรุงเทพสู่เทือกเขาอัลไต
Posted in ,

จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

นาฬิกาบอกเวลาเกือบ 15.00 น. เมื่อฉันก้าวลงจากเครื่องบินในสนามบินเมืองอุลกี (Ulgii) หลังจากการเดินทางยาวนานถึง 24 ชั่วโมง สายลมเย็นเฉียบปะทะใบหน้าทันทีที่ออกจากอาคารสนามบิน มันเป็นลมที่แห้ง ไม่เหมือนลมหนาวชื้นแบบที่คุ้นเคยในเมืองไทย รอบตัวฉันคือทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาอัลไตตั้งตระหง่านอยู่ลิบ ๆ ตัดกับท้องฟ้ากว้างที่มีเพียงกลุ่มเมฆสีขาวลอยตัวอย่างอิสระ

บรรยากาศของอุลกีให้ความรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นแบบเก่า สร้างขึ้นตั้งแต่ยุค 1950-1980 ถนนบางสายเป็นดินลูกรัง มีฝุ่นฟุ้งกระจายเมื่อรถแล่นผ่าน ฉันมองไปรอบ ๆ พบว่าผู้คนสวมเสื้อคลุมขนสัตว์เดินผ่านกันไปมา มีทั้งผู้สูงวัยที่ยังแต่งตัวแบบดั้งเดิม และหนุ่มสาวที่สวมเสื้อผ้าแนวสมัยใหม่แบบยุโรป บางคนสวมหมวกทรงสูงแบบคาซัค สะท้อนถึงเอกลักษณ์ที่เป็นลูกผสมระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมและความทันสมัยที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามา

แผนการเดินทาง กรุงเทพฯ – ฮ่องกง – อูลานบาตอร์ – อุลกี

จากเมืองไทย เราเลือกเดินทางเข้าฮ่องกงก่อน เพราะมีเที่ยวบินให้เลือกมากกว่าและค่าใช้จ่ายถูกกว่า จากนั้นคณะของเราซึ่งมี 16 คนก็นัดพบกันที่สนามบินฮ่องกงก่อนเดินทางต่อด้วย Miat Airlines สู่เมืองหลวงอูลานบาตอร์ และต่อไปยังอุลกี เมืองเล็ก ๆ ที่เป็นศูนย์กลางของ Bayan-Ulgii Aimag

บริการ Check-Through: อำนวยความสะดวกหรือสร้างความหวาดเสียว?

แม้เราจะใช้สายการบินต่างกันในแต่ละช่วง แต่ยังสามารถใช้บริการเช็คทรู (Check-Through) กระเป๋าได้ เช่น ฉันที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยคาเธย์แปซิฟิคและต่อด้วย Miat Airlines ก็สามารถให้เจ้าหน้าที่ส่งกระเป๋าตรงไปยังอูลานบาตอร์ได้เลย ทำให้ไม่ต้องผ่านกระบวนการรับและเช็คอินใหม่ที่ฮ่องกง อย่างไรก็ตาม การใช้บริการนี้ก็มีความเสี่ยง กระเป๋าของเพื่อน ๆ ที่ใช้ฮ่องกงแอร์ไลน์เกิดความผิดพลาดจนมาถึงล่าช้าไปหนึ่งวัน โชคดีที่เรามีเอเย่นต์ท้องถิ่นคอยช่วยประสานงาน ไม่เช่นนั้น การติดตามกระเป๋าในต่างแดนคงเป็นภาระที่หนักไม่น้อย

สนามบินเมืองอุลกี: จุดเริ่มต้นที่ไม่เป็นไปตามแผน

เมื่อมาถึงอุลกี ความตื่นเต้นของเราถูกลดทอนลงเล็กน้อย เมื่อทราบข่าวว่าอุทยานแห่งชาติ Altai Tavan Bogd ถูกปิด เนื่องจากพบวัว 11 ตัวเสียชีวิตในพื้นที่ ทำให้เส้นทางการเดินเขาสู่ธารน้ำแข็ง Potanine Glacier ที่เราเฝ้ารอคอยต้องถูกยกเลิก ทริปที่วางแผนมาครึ่งปีจึงต้องพลิกแพลงอย่างกระทันหัน แต่อย่างน้อยเราก็ได้เดินทางมาเยือนมองโกเลีย และไม่ว่าจุดหมายจะเปลี่ยนไปอย่างไร ทุกก้าวย่างก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำ

เทือกเขาอัลไต: พรมแดนแห่งเอเชีย

เทือกเขาอัลไตครอบคลุมพื้นที่กว่า 636,200 เฮกตาร์ เชื่อมโยงระหว่างเมือง Bayan-Ulgii, Tsengel Soum, Ulaanhus Soum, Sagsai Soum และ Altai Soum มียอดเขาสูงสุดคือ Khuiten Uul ที่ระดับความสูง 4,353 เมตร ซึ่งสามารถมองเห็นประเทศจีนและรัสเซียจากจุดสูงสุด เทือกเขานี้เป็นพื้นที่อันเงียบสงบที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ทุ่งหญ้าเขียวขจี และแม่น้ำที่ไหลผ่านโตรกผาลึก

แม้แผนเดิมต้องเปลี่ยนไป แต่เราก็เลือกสำรวจเส้นทางที่แนะนำโดยไกด์ท้องถิ่น ขับรถแวนลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้า ลัดเลาะภูเขา แม่น้ำ และทะเลสาบ ถือเป็นอีกมุมหนึ่งของมองโกเลียที่เรายังไม่เคยสัมผัส

เมืองอุลกี: ศูนย์กลางวัฒนธรรมคาซัคในมองโกเลีย

อุลกีเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่เป็นเมืองหลวงของ Bayan-Olgii Aimag ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคาซัค (Kazakh) ที่นับถือศาสนาอิสลาม พวกเขาอพยพมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นี้เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน และเผชิญแรงกดดันจากรัสเซียและจีน ก่อนจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมองโกเลียในปี 1939 เมืองนี้ยังคงมีอาคารบ้านเรือนที่สะท้อนอดีต แม้จะมีสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา แต่ก็ยังคงกลิ่นอายของยุคเก่า

ประชากรส่วนใหญ่ของอุลกีประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์และผลิตสินค้าจากสัตว์ อย่างไรก็ตาม หนุ่มสาวหลายคนแต่งกายทันสมัยน่าดูไม่น้อย ประกอบกับรูปร่างที่สูงโปร่งแบบตะวันตก ใบหน้าคล้ายคนจีนแต่คมคาย และมีนัยน์ตาที่สวยงามแบบแขกขาว สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ โลกของพวกเขาแบ่งออกเป็นสองฝั่ง—ฝั่งที่ยังคงยึดมั่นในวัฒนธรรมดั้งเดิม และฝั่งที่เปิดรับความทันสมัยจากภายนอก

การเปลี่ยนผ่านนี้ทำให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่า โลกหมุนไปเร็วขึ้นทุกวัน แต่เราจะสามารถรักษารากเหง้าและวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้อย่างไรโดยไม่ต้องทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง นี่คือเสน่ห์ของอุลกีและมองโกเลีย—สถานที่ที่อดีตและปัจจุบันยังคงเดินเคียงข้างกันไปในทุกก้าวย่างของการเปลี่ยนแปลง

แม้จะไม่ได้พิชิตยอดเขาอัลไตดังที่หวังไว้ แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำ และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในดินแดนอันกว้างใหญ่ของมองโกเลีย

คืนแรกกับการพักในเกอร์: สัมผัสชีวิตชาวมองโกลแท้ๆ

หลังจากการเดินทางที่ยาวนาน เราได้เข้าพักใน “เกอร์” (Ger) ที่พักแบบดั้งเดิมของชาวมองโกเลีย ซึ่งเป็นกระโจมขนาดใหญ่ มีโครงไม้คลุมด้วยผ้าสักหลาดหนา ภายในอบอุ่นและมีเตาผิงกลางห้องให้ความร้อน คืนแรกฉันนอนหลับสนิท น่าจะเพราะเหนื่อยจากการเดินทางอย่างสมบุกสมบันจากเมืองไทย ตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงลมพัดและแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านประตูเกอร์ ทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นและตื่นเต้นกับการเดินทาง Road Trip ในมองโกเลียตะวันตก ที่รอเราอยู่อีกสิบกว่าวันข้างหน้า

การเดินทางครั้งนี้ยังเต็มไปด้วยความสมบุกสมบัน ธรรมชาติสุดอลังการ และเสียงหัวเราะที่เราจะแบ่งปันกันตลอดเส้นทาง มองโกเลีย… ฉันพร้อมแล้ว!


อากาศในฤดูร้อน

การเดินทางของเราในเดือนกรกฎาคมตรงกับฤดูร้อนของมองโกเลีย อากาศกำลังดี อยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส แต่แดดแรงกว่าที่คิดไว้มาก ด้วยความที่เป็นดินแดนกว้างใหญ่และมีพื้นที่ทะเลทรายบางส่วน แสงแดดจึงแผดเผาอย่างจัง พอฉันเล่าให้คนท้องถิ่นฟังว่า เมืองไทยร้อนกว่านี้สองเท่า ถึง 40 องศาเซลเซียส พวกเขาถึงกับตกใจ! ถึงแม้อุณหภูมิที่นี่จะเย็นกว่า แต่รังสี UV ก็รุนแรง ดังนั้นครีมกันแดด หมวก และแว่นกันแดดเป็นของจำเป็นมาก

หมวกตาข่ายกันยุง: ไอเทมที่ไม่คาดคิด

ไม่มีใครเคยเตือนฉันมาก่อนว่า “มองโกเลีย” จะมียุงเยอะขนาดนี้! โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูร้อนและเป็นช่วงที่ฝูงยุงออกอาละวาด เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของมองโกเลียเป็นทุ่งหญ้ากว้างสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทำให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงชั้นดี โชคดีที่ไกด์ของเราพาไปตลาดและแนะนำให้ซื้อหมวกตาข่ายกันยุง ราคาประมาณ 40 บาท แต่ประโยชน์ของมันเกินราคาไปมาก เพราะยุงที่นี่ตัวใหญ่และกัดเจ็บสุดๆ ถ้าไม่มีหมวกนี้ การเดินทางของเราคงหมดสนุกไปไม่น้อย

ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเที่ยวมองโกเลีย

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเที่ยวมองโกเลียคือ ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค. – พ.ค.) หรือ ฤดูร้อน (ก.ค. – ส.ค.) เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป และในบางพื้นที่อาจมีหิมะให้เห็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

ข้อแนะนำสำคัญในการมาเที่ยวช่วงฤดูร้อน

  • หมวกตาข่ายกันยุง: ไอเทมสำคัญที่ช่วยให้การท่องเที่ยวราบรื่นขึ้น
  • ครีมกันแดด: ป้องกันผิวจากแดดแรง
  • ร่ม: กันแดดและฝน เพราะช่วงนี้อาจมีฝนตกบ้าง
  • เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว: ป้องกันทั้งยุงและแสงแดด
  • รองเท้าเดินป่าหรือรองเท้าลุยๆ: เพราะเส้นทางท่องเที่ยวมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งหญ้า ดิน โคลน และหิน
  • กระดาษทิชชู่และผ้าเปียก: เพราะห้องน้ำสาธารณะที่นี่อาจไม่สะอาดนัก แถมคนท้องถิ่นนิยมอาบน้ำไม่บ่อย
  • ผ้าเช็ดตัวแห้งเร็ว: น้ำหนักเบาและสะดวกในการใช้งาน
  • ไฟฉายคาดศีรษะหรือไฟฉายพกพา: มีประโยชน์มากเมื่อเข้าพักในพื้นที่ห่างไกล
  • Powerbank หรือแบตสำรอง: หากต้องเดินทางไปในพื้นที่ชนบท หรือพักแคมป์ที่ไม่มีไฟฟ้า
  • กระติกกรองน้ำพกพา: สามารถกรองน้ำจากลำธารระหว่างเดินทางได้ เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพน้ำ

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.