Nim Journey

A Legend of Travel

Tigray: ดินแดนที่ศรัทธาถูกสลักไว้ในหิน
Posted in , ,

เราบินออกจากสนามบินแอดดิส อะบาบาแต่เช้า มาถึงเมืองเมคเคล (Mekele) ซึ่งเป็นเมืองหลักของแคว้น Tigray จากนั้นนั่งรถบัสต่อเข้าไปยังหมู่บ้าน Negash จุดหมายแรกของวัน วันนี้เราจะไปดูทั้งมัสยิด ,โบสถ์คริสต์ และพระราชวังที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว

บรรยากาศสองข้างทางระหว่างนั่งรถ

Negash Mosque ไม่ใช่เพียงสถานที่ประกอบศาสนกิจ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับและการอยู่ร่วมกันของศาสนาในยุคแรก ๆ ของโลกอิสลาม เชื่อกันว่าหมู่บ้าน Negash เป็นที่ตั้งของชาวมุสลิมกลุ่มแรกที่อพยพมาจากคาบสมุทรอาหรับในช่วงศตวรรษที่ 7 เพื่อหลบหนีการกดขี่จากชนชั้นปกครองแห่งนครมักกะห์ในช่วงแรกของอิสลาม ซึ่งในขณะนั้นศาสดามูฮัมหมัดและสาวกถูกต่อต้านและคุกคามอย่างหนัก โดยกลุ่มผู้อพยพนี้ประกอบด้วยครอบครัวและสาวกใกล้ชิดของศาสดามูฮัมหมัด เช่น ญะอฺฟัร อิบนุ อบีฏอลิบ (Ja’far ibn Abi Talib) ลูกพี่ลูกน้องของศาสดา และอุมมุ สะละมะฮฺ (Umm Salama) หนึ่งในภรรยาของศาสดาในภายหลัง ทั้งหมดได้รับการต้อนรับจากกษัตริย์คริสต์แห่งอาณาจักรอักซุม พวกเขาได้อาศัยอยู่ ณ ดินแดนนี้อย่างสงบสุข และสร้างมัสยิดแห่งแรกขึ้นที่นี่

Negash Mosque เมดินาแห่งแอฟริกา

จึงไม่น่าแปลกใจที่ Negash จะได้รับการยกย่องว่าเป็น “เมดินาแห่งแอฟริกา” และมัสยิดแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนรากฐานของความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างชาวคริสต์และมุสลิมในเอธิโอเปีย ความเรียบง่ายของอาคาร บวกกับบรรยากาศเงียบสงบ ล้อมรอบด้วยภูเขาและฟ้ากว้าง ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังยุคที่ศรัทธายังบริสุทธิ์และอ่อนโยน

จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง โบสถ์หิน Abreha we Atsbeha ซึ่งตั้งอยู่บนเนินหินของเขต Wukro โบสถ์แห่งนี้เป็นแบบ Semi-Monolithic คือแกะสลักจากหินทั้งก้อน โดยมีด้านหนึ่งของโบสถ์ฝังแนบติดกับหน้าผาหินธรรมชาติ ส่วนอีกด้านก่อผนังขึ้นมาปิดล้อม ภายนอกของโบสถ์เป็นหินสีแดงอมชมพู ที่โดดเด่นท่ามกลางภูเขาโล้นรอบตัว ดูสงบน่าเกรงขาม โครงสร้างทั้งหมดสะท้อนถึงฝีมือช่างในยุคโบราณที่สามารถหลอมรวมธรรมชาติเข้ากับศาสนาได้อย่างกลมกลืน

ต้องเดินขึ้นไปยังโบสถ์ เพราะโบสถ์โบราณส่วนใหญ่มักจะสร้างบนผาหิน หรือซอกหลืบตามธรรมชาติ

ที่นี่เองทำให้ฉันได้สัมผัสถึงความหลากหลายของเอธิโอเปียอย่างลึกซึ้ง… ดินแดนที่สองศาสนายิ่งใหญ่—อิสลามและคริสต์—อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนมานานนับพันปี

เมื่อก้าวเข้าไปในโบสถ์ ฉันต้องหยุดนิ่ง ไม่ใช่เพราะความเย็นจากผนังหิน แต่เป็นเพราะภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ตรึงตา ฉันเคยเห็นภาพนักบุญตามโบสถ์ยุโรปมาบ้าง แต่ที่นี่… เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนักบุญผิวสีดำ ในเสื้อผ้าท้องถิ่น ศิลปะแบบเอธิโอเปียดั้งเดิมที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยพลังศรัทธา

นักบุญที่ปรากฏในภาพวาดมีทั้ง นักบุญยอห์น, นักบุญจอร์จ, และ พระแม่มารี — ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในคริสต์ศาสนา ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสไตล์ศิลปะแบบท้องถิ่น ผิวเข้ม ใบหน้าอ่อนโยน ดวงตากลมโตที่มองสบผู้มาเยือนราวกับจะสื่อสารบางอย่าง เส้นสายและสีที่ใช้มีความเรียบง่ายแต่สื่ออารมณ์ได้ลึกซึ้ง

โดยเฉพาะ นักบุญจอร์จ (Saint George) — นักบุญขี่ม้าขาวผู้ถือหอกแทงมังกร ซึ่งเชื่อว่าเป็นการปราบปีศาจและความชั่วร้าย ภาพนี้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่พบได้แทบทุกโบสถ์ในเอธิโอเปีย และเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในหมู่คริสต์ศาสนิกชนสายออร์โธดอกซ์ ภาพนักบุญจอร์จไม่เพียงงดงามในเชิงศิลป์ แต่ยังสื่อถึงพลังศรัทธาอันแรงกล้าที่ไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา

ประตูทางเข้าสู่ห้องศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของโบสถ์ ยังมีภาพวาดของ อัครเทวดามีคาเอล (Archangel Michael) และ อัครเทวดากาเบรียล (Archangel Gabriel) ซึ่งถือเป็นผู้พิทักษ์ประตูแห่งศรัทธา ทั้งสองยืนตระหง่านในชุดเกราะ มีปีกหลากสี และถือดาบประจำกาย มีคาเอลมักชูดาบเหนือหัวในท่าปราบมาร ขณะที่กาเบรียลยืนอย่างสงบนิ่งแต่เปี่ยมพลัง เป็นภาพที่พบได้ทั่วไปในโบสถ์ออร์โธดอกซ์เอธิโอเปีย และเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจถึงพลังของพระเจ้าและการปกปักรักษาผู้ศรัทธา

รูปวาดของกษัตริย์ Abreha และ Atsbeha

โบสถ์นี้ตั้งชื่อตามกษัตริย์ Abreha และ Atsbeha ผู้ซึ่งนำศาสนาคริสต์เข้ามาสู่เอธิโอเปียในศตวรรษที่ 4 พวกพระองค์เป็นผู้นำแห่งอาณาจักรอะกซุม (Aksum) ที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น และเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่นับถือคริสต์เช่นกัน

ศาสนาคริสต์ในเอธิโอเปียนั้นไม่เหมือนที่ไหนในโลก — นิกายที่แพร่หลายคือ ออร์โธดอกซ์เอธิโอเปีย (Ethiopian Orthodox Tewahedo Church) ซึ่งมีรากฐานลึกซึ้ง เป็นหนึ่งในคริสตจักรที่เก่าแก่ที่สุดของโลก และยังคงรักษาพิธีกรรมดั้งเดิมภาษากีเอซ (Ge’ez) รวมถึงระบบพระสงฆ์แบบโบราณไว้จนถึงปัจจุบัน

นักบุญจอร์จ (Saint George) — นักบุญขี่ม้าขาวผู้ถือหอกแทงมังกร

โบสถ์คริสต์ในเอธิโอเปียมีอยู่หลายแบบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “ศรัทธาที่สลักอยู่ในหิน” — บางแห่งขุดลึกลงไปในพื้นดินเหมือนโบสถ์ที่ Lalibela บางแห่งถูกเจาะเข้าไปในหน้าผาสูงชันที่ Abuna Yemata Guh และอีกหลายแห่ง เช่นที่นี่ Abreha we Atsbeha ผนังและเสาทั้งหมดล้วนเป็นหินชิ้นเดียวกับภูเขา สะท้อนให้เห็นถึงความวิริยะของผู้สร้าง และความมุ่งมั่นในการสื่อสารศรัทธาผ่านการก่อสร้าง

มองไปรอบ ๆ ห้องโถงของโบสถ์ — ที่ซึ่งแสงแดดลอดผ่านช่องเล็ก ๆ ในหิน ทำให้ภาพนักบุญดูราวกับมีชีวิต ฉันรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีลมหายใจของเวลา… เสียงสวดแผ่วเบาจากมุมหนึ่งของโบสถ์ประหนึ่งเสียงกระซิบจากอดีต

ที่นี่ไม่ใช่แค่โบสถ์ แต่คือบทหนึ่งของเรื่องเล่าที่ยังไม่จบของเอธิโอเปีย — แผ่นดินแห่งความศรัทธาและความอดทน

เมื่อแดดบ่ายคล้อยลงและอากาศเริ่มเย็น เรารีบรุดไปยังสถานที่สุดท้ายของวัน — พระราชวังของจักรพรรดิ Yohannes IV ผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิเอธิโอเปียในศตวรรษที่ 19 ซึ่งทรงเลือกเมือง Mekele เป็นศูนย์กลางการปกครอง

การที่จักรพรรดิ Yohannes IV เลือก Mekele ไม่ใช่เพียงเพราะทำเลที่ตั้งอันเหมาะสม แต่ยังเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการทหาร เมืองนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเส้นทางคาราวานจากทะเลแดงเข้าสู่ใจกลางเอธิโอเปีย เป็นจุดควบคุมทั้งการค้าและการป้องกันภัยจากต่างแดน พระองค์จึงสถาปนา Mekele ให้เป็นราชธานีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และสร้างพระราชวังขึ้นเป็นศูนย์กลางของอำนาจจักรวรรดิ หลังจากสวรรคต เมืองนี้ยังคงเป็นศูนย์กลางของแคว้น Tigray และพระราชวังก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สำคัญที่เก็บรักษาประวัติศาสตร์ของกษัตริย์ผู้ทรงคุณูปการคนนี้

แม้ว่าเราจะไปถึงช่วงเวลาใกล้ปิดประตูตอนห้าโมงเย็นกว่า ๆ แต่โชคดีที่ไกด์ได้โทรแจ้งไว้ล่วงหน้า เราจึงได้รับอนุญาตให้เข้าชมเป็นกรณีพิเศษ — ประสบการณ์ที่น่าจดจำ แม้ภายในจะไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพก็ตาม

ภายในพระราชวังซึ่งปัจจุบันกลายเป็น พิพิธภัณฑ์ Yohannes IV Museum เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ เครื่องแต่งกายจักรพรรดิ อาวุธ และเอกสารทางประวัติศาสตร์ บอกเล่าเรื่องราวของยุคทองของการรวมอาณาจักร ภาพถ่ายเก่า ๆ และภาพวาดที่แสดงให้เห็นถึงยุคที่จักรวรรดิเอธิโอเปียเผชิญหน้ากับจักรวรรดิออตโตมันและจักรวรรดิอิตาลี ช่วยเปิดหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีและความกล้าหาญ


ลักษณะเฉพาะของวิศวกรรมแบบเอธิโอเปียโบราณ

Rock-Hewn Architecture (สกัดจากหินทั้งก้อน)

    จุดเด่นคือการแกะสลักสิ่งก่อสร้างเข้าไปในหินภูเขาโดยตรง ไม่ได้สร้างขึ้นจากวัสดุภายนอก แต่ “สร้างจากเนื้อภูเขาเอง”

    พบเห็นในการสร้างโบสถ์ เช่นที่ Lalibela, Tigray ซึ่งแบ่งเป็น:

    • Monolithic: ขุดรอบทุกด้านของหิน เช่น โบสถ์ St. George แห่ง Lalibela
    • Semi-Monolithic: ขุดบางส่วน ติดกับภูเขา เช่น Abreha we Atsbeha
    • Built-up: ก่อขึ้นบนพื้นหินโดยใช้หินเรียงซ้อน

    การใช้แรงคนและเครื่องมือพื้นฐาน

    • ช่างโบราณใช้ค้อนหิน สิ่วไม้ และความรู้จากการสังเกตภูมิประเทศ
    • ต้องอาศัยทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นและศรัทธาอย่างแรงกล้า เพราะการสร้างโบสถ์เหล่านี้ใช้เวลานานหลายสิบปี

    การวางผังตามความเชื่อ

    • มักวางตำแหน่งห้องศักดิ์สิทธิ์ (Holy of Holies) ไว้ทางตะวันออก
    • ใช้หลักสมมาตรและแสงธรรมชาติในเชิงสัญลักษณ์ เช่น แสงส่องไปยังภาพนักบุญในบางเวลา

    ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ-สถาปัตยกรรม-ศรัทธา

    • วิศวกรรมไม่ใช่แค่การก่อสร้าง แต่เป็น “การถวายงานศิลป์แด่พระเจ้า”
    • ทุกเสา ทุกช่องแสง ทุกภาพวาด สื่อถึงความเชื่อและโลกทัศน์ของคนในยุคนั้น

    Leave a Reply

    เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

    สมัครเป็นสมาชิก

    Enter your email below to receive updates.