Nim Journey

A Legend of Travel

ดินแดนแห่งหีบพันธสัญญา และอาณาจักรโบราณอัคซุม
Posted in , ,

มีบางดินแดนที่แม้จะถูกมองว่าแร้นแค้น แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเรื่องเล่าที่น่าสนใจ—เอธิโอเปีย คือหนึ่งในนั้น

ประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการจัดอันดับว่ายากจนที่สุดในโลกแห่งนี้ กลับเป็นบ้านเกิดของตำนานที่ยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เรื่องราวของพระเยซูผิวดำ ศูนย์กลางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ในแอฟริกา จุดเริ่มต้นของศาสนาอิสลามบนแผ่นดินแอฟริกา ไปจนถึงการเป็นแหล่งกำเนิดของมนุษย์โฮโมเซเปียน และเหนืออื่นใด—ที่นี่คือสถานที่ที่เชื่อว่า หีบแห่งพันธสัญญา (Ark of the Covenant) ถูกเก็บรักษาไว้

หีบแห่งพันธสัญญาแห่งอัคซุม

ฉันรู้จัก “หีบแห่งพันธสัญญา” ครั้งแรกจากหนัง Indiana Jones: Raiders of the Lost Ark ของสตีเวน สปีลเบิร์ก ภาพของเหล่านาซีที่ไล่ล่าหีบศักดิ์สิทธิ์นั้น เพราะเชื่อว่าผู้ครอบครองจะชนะในทุกสงคราม ยังคงฝังใจ แต่เรื่องเล่าที่ได้ฟังในเอธิโอเปีย กลับมีมนต์ขลังยิ่งกว่า ด้วยหลักฐานที่เหล่านักบวชชี้ไปยังโบสถ์เล็กด้านหลังว่าในที่นั้นมีหีบแห่งพันธสัญญาอยู่จริง

เมืองโบราณ อักซุม (Axum) ไม่ใช่แค่ซากปรักหักพังของอารยธรรมเก่า หากแต่เป็นหัวใจของเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงโลกตะวันออกกลางกับแอฟริกาตะวันออกอย่างแน่นแฟ้น

หลังโบสถ์ใหญ่ Church of Our Lady Mary of Zion ในเมืองอักซุม มีโบสถ์เล็กซ่อนตัวอย่างเงียบงามอยู่ด้านหลัง ที่นั่นเองคือสถานที่ที่ชาวเอธิโอเปียเชื่อว่า หีบแห่งพันธสัญญา ถูกเก็บรักษาไว้ ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และลึกลับ ไม่มีใครนอกจากนักบวชเพียงหนึ่งเดียว—ซึ่งสละชีวิตทั้งหมดเพื่อพิทักษ์สถานที่นี้—ที่จะสามารถเข้าไปภายในได้ และเมื่อเขาก้าวเข้าสู่หน้าที่นี้แล้ว จะไม่มีวันออกมาอีกเลยตลอดชีวิต

รูปวาดราชินีชีบาเข้าเผ้ากษัตริย์โซโลมอน
ภาพวาดขณะนำหีบแห่งพันธสัญญาออกมาจากอิสราเอล

จากเยรูซาเลมสู่เอธิโอเปีย: เส้นทางแห่งหีบ

ตำนานเริ่มต้นจากยุคของ กษัตริย์โซโลมอน ผู้ชาญฉลาดแห่งอิสราเอล และ ราชินีแห่งชีบา หญิงปกครองอาณาจักรที่กว้างใหญ่จากเอธิโอเปียถึงอียิปต์ พระนางเดินทางข้ามทะเลทรายเพื่อทดสอบปัญญาของโซโลมอน แต่กลับกลายเป็นความรักและสายสัมพันธ์ลึกซึ้ง จนนำไปสู่การประสูติของ เจ้าชายเมเนลิกที่ 1 ผู้จะกลายเป็นจักรพรรดิองค์แรกของเอธิโอเปีย

เมื่อพระองค์เติบโตขึ้นและได้เดินทางกลับไปเยี่ยมพระบิดาที่เยรูซาเลม ทรงนำบางสิ่งกลับมาด้วย—หีบแห่งพันธสัญญา

หีบนี้ว่ากันว่าเป็นกล่องไม้ที่หุ้มด้วยทองคำ ภายในบรรจุแผ่นศิลาจารึกพันธสัญญาระหว่างพระเจ้าและชาวอิสราเอล เป็นหีบที่เมื่อวางอยู่เบื้องหน้า ขบวนของชาวยิวสามารถแยกแม่น้ำจอร์แดน และสามารถเอาชนะศัตรูในการศึกได้

Church of Our Lady Mary of Zion โบสถ์ใหม่นี้อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าได้
พระแม่มารี ผู้เป็นสัญญลักษณ์ของหีบพันธสัญญา

โบสถ์และพิธีกรรม: หญิงหนึ่งเดียวในวิหาร

Church of Our Lady Mary of Zion เดิมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อนุญาตให้เฉพาะผู้ชายเข้าไปได้ ทำให้ “Mary” หรือพระแม่มารี ผู้เป็นสัญลักษณ์ของหีบพันธสัญญา กลายเป็นหญิงเพียงหนึ่งเดียวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้

เหตุผลที่พระแม่มารีถูกเปรียบเปรยว่าเป็น “หีบแห่งพันธสัญญาใหม่” นั้นมีรากฐานจากความเชื่อของคริสตศาสนา โดยเฉพาะในนิกายคาทอลิกและออร์โธดอกซ์ ซึ่งมองว่าในพันธสัญญาเดิม หีบแห่งพันธสัญญาคือที่เก็บพระวจนะของพระเจ้า (แผ่นศิลาแห่งบัญญัติ 10 ประการ) ขณะที่ในพันธสัญญาใหม่ พระแม่มารีคือผู้ที่อุ้มพระเยซูไว้ในครรภ์ และพระเยซูก็คือ “พระวจนะที่มีชีวิต” หรือ The Living Word

มารีจึงเป็นเสมือนหีบใหม่ที่ประทับของพระเจ้า เป็นศูนย์กลางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในยุคใหม่ และด้วยเหตุนี้ โบสถ์แห่งนี้จึงตั้งชื่อตามพระนาง และถือว่านางคือ “หญิงหนึ่งเดียวในวิหาร”

ต่อมาในปี 1950 กษัตริย์ Haile Selassie ได้สร้างโบสถ์ใหม่ขึ้นเคียงข้างกัน และเปิดให้สตรีเข้าไปได้ ส่วนหีบพันธสัญญาถูกย้ายไปไว้ใน Chapel of the Tablet โบสถ์เล็กที่อยู่ข้างๆ กันอีกที เนื่องจากหีบได้แผ่พลังงานความร้อนจนทำให้แท่นบูชาเดิมเกิดรอยร้าว (ตามคำบอกเล่าของนักบวช)

บริเวณที่ไกด์บอกว่าเคยเป็นวังของราชินีแห่งชีบา ที่เมืองอักซุม (Axum) แต่ตามหลักฐานบอกว่าเป็นเป็นวังเก่า Dungur Palace สร้างในราวคศ.4-6
สระน้ำของราชีนีแห่งชีบา

ร่องรอยอารยธรรม: อัคซุมและราชินีแห่งชีบา

เมืองอักซุมไม่เพียงแต่มีโบสถ์และเรื่องเล่า แต่ยังเต็มไปด้วยหลักฐานทางโบราณคดี เช่น วังของราชินีแห่งชีบา (หรือที่รู้จักในชื่อ Dungur Palace) และ สระน้ำของพระนาง ที่คนท้องถิ่นเชื่อว่าเธอเคยเสด็จมาสรงน้ำ

อัคซุมเป็นศูนย์กลางของหนึ่งในอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแอฟริกาในยุคโบราณ มีอายุเริ่มต้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 และเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในช่วงศตวรรษที่ 4-7 อาณาจักรแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือเอธิโอเปียตอนเหนือและเอริเทรีย และมีอำนาจควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลแดง ซึ่งเชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรอินเดีย ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าและวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกยุคโบราณ

หิน Ezana คำจารึกบนก้อนหินนี้อธิบายถึงการยอมรับศาสนาคริสต์และการพิชิตดินแดนรอบ ๆ

อัคซุมยังเป็นอาณาจักรแอฟริกาที่หนึ่งเดียวในยุคนั้นที่มีการผลิตเหรียญตราเอง และมีการสื่อสารกับอาณาจักรใหญ่ ๆ อย่างโรมัน จีน และเปอร์เซีย กษัตริย์ของอัคซุม เช่น กษัตริย์ Ezana ยังมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ศาสนา เมื่อพระองค์ประกาศเปลี่ยนศาสนาจากลัทธิพื้นเมืองมาเป็นศาสนาคริสต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ซึ่งทำให้อัคซุมกลายเป็นหนึ่งในอาณาจักรคริสเตียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก (มีหลักฐานคือจารึกบน หิน Ezana)

สิ่งปลูกสร้างเช่นเสาหินโอบิลิคส์จำนวนมากในเมืองอักซุม สะท้อนถึงความเชื่อ ความมั่งคั่ง และอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่อัคซุมรับมาจากอียิปต์และผสมผสานเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อย่างไรก็ตาม อำนาจของอัคซุมเริ่มลดลงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7-8 เนื่องจากเส้นทางการค้าทางทะเลเปลี่ยนไปสู่คาบสมุทรอาหรับ อีกทั้งอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่เริ่มแพร่ขยายได้เปลี่ยนภูมิศาสตร์ทางศาสนาและเศรษฐกิจของภูมิภาคในเวลานั้น

แม้ในเวลาต่อมาอัคซุมจะล่มสลาย แต่เมืองนี้ยังคงมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางศาสนาและความเชื่อ โดยเฉพาะในนิกายออร์โธดอกซ์ของเอธิโอเปีย ซึ่งสืบทอดความศรัทธาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน

เมืองอักซุมเป็นอีกเมืองที่มีร่องรอยของเสาโอบิลิคส์โบราณ ซึ่งมีอิทธิพลมาจากอียิปต์
ด้านล่างของเสาหิน

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.