เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้า เบต กีออร์กิส (Bet Giyorgis) ฉันอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า “มนุษย์คนหนึ่งสร้างสิ่งนี้ได้อย่างไร?” โบสถ์ทั้งหลังถูกสกัดจากหินเพียงก้อนเดียว ไม่มีการก่ออิฐ ไม่มีไม้ ไม่มีตะปู ทุกอย่างคือหินดิบ ๆ ที่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยแรงศรัทธาและฝีมือ
แรงบันดาลใจจากนิมิตและการแสวงบุญ
ในตำนานเล่าว่า กษัตริย์ลาลิเบลา ได้รับนิมิตจากพระเจ้าให้สร้างนครเยรูซาเล็มแห่งใหม่ขึ้นในแผ่นดินเอธิโอเปีย เพื่อเป็นที่พึ่งของชาวคริสต์ที่ไม่สามารถเดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ เนื่องจากถูกครอบครองโดยชาวมุสลิมในช่วงเวลานั้น ทรงต้องการให้ประชาชนของพระองค์ได้มีสถานที่สำหรับสวดภาวนา แสวงบุญ และรับใช้ศาสนาอย่างปลอดภัย
ว่ากันว่า…การก่อสร้างโบสถ์แต่ละหลังกินเวลาไม่นานนัก เพราะกษัตริย์ลาลิเบลาได้รับความช่วยเหลือจาก “ทูตสวรรค์” ที่ลงมาทำงานในเวลากลางคืน หลังจากช่างคนงานหยุดพัก ความเชื่อนี้อาจฟังดูเป็นตำนาน แต่เมื่อได้เห็นความอลังการของสิ่งก่อสร้างตรงหน้า ฉันก็อดที่จะเชื่อไม่ได้ว่า มันต้องมีสิ่งเหนือธรรมดาร่วมมืออยู่จริง ๆ
สถาปัตยกรรมที่มากกว่าความงาม
โบสถ์ทั้ง 11 แห่งของลาลิเบลาสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มฝั่งเหนือและฝั่งใต้ โดยมีคลองศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “แม่น้ำจอร์แดน” (Jordan River) คั่นกลาง สื่อถึงแม่น้ำจอร์แดนที่แบ่งแยกโลกเก่ากับโลกใหม่ ตามความเชื่อทางศาสนา
โบสถ์ถูกออกแบบให้มีทั้งชั้นบนและชั้นล่าง มีบันไดทางขึ้น ช่องอุโมงค์ลับ และห้องเล็ก ๆ สำหรับพิธีกรรมต่าง ๆ สถาปนิกยุคนั้นต้องมีความรู้ลึกทั้งด้านโครงสร้าง ศาสนา สัญลักษณ์ และสัดส่วนศักดิ์สิทธิ์ โครงสร้างของโบสถ์หลายหลังจำลองแบบมาจากโบสถ์ในเยรูซาเล็ม เช่น Bet Medhane Alem ซึ่งถือเป็นโบสถ์หินแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเสาขนาดมหึมา 72 ต้น ที่รองรับเพดานหิน
เบต กีออร์กิส หรือ โบสถ์นักบุญจอร์จ ที่ฉันยืนชื่นชมอยู่นั้น ถือเป็นโบสถ์ที่สมบูรณ์ที่สุดในลาลิเบลา ตัวอาคารมีรูปทรงไม้กางเขนทั้งจากด้านบนและด้านล่าง สื่อถึงการเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ ด้านในเรียบง่ายแต่ขลัง ด้วยแสงสลัวจากช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ที่ส่องกระทบหินสีแดงอมส้มราวกับเปลวไฟ
มากกว่าสถาปัตยกรรม คือภูมิปัญญาแห่งกาลเวลา
สิ่งที่ทำให้ลาลิเบลาแตกต่างจากศาสนสถานอื่น ๆ คือการที่โบสถ์เหล่านี้ “ไม่ถูกสร้างขึ้นจากพื้นดิน แต่กลับถูกสกัดลงไปจากภูเขา” ซึ่งต้องใช้ทักษะทางวิศวกรรมชั้นสูง ช่างต้องคาดคะเนทิศทางของแสง น้ำ และการระบายอากาศอย่างแม่นยำ หลายโบสถ์มีระบบรางน้ำฝนที่แกะสลักให้ไหลออกนอกตัวอาคาร อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความมั่นคงของเพดานหินที่อยู่เหนือศีรษะ
และที่น่าทึ่งยิ่งกว่า คือความเข้าใจเรื่อง “เสียง” —บางห้องในโบสถ์ถูกออกแบบให้เสียงสะท้อนจากบทสวดดังกังวานทั่วทั้งอาคาร ทำให้ผู้สวดรู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิด



เครือข่ายถ้ำและอุโมงค์ใต้ดิน
นอกจากโบสถ์หินแกะสลักแล้ว ลาลิเบลายังเต็มไปด้วยเครือข่ายอุโมงค์และถ้ำที่เชื่อมต่อโบสถ์แต่ละแห่งเข้าด้วยกัน บางเส้นทางแคบจนต้องเดินก้มตัว บางช่วงมืดสนิทจนต้องใช้ไฟฉาย ในความมืดนี้ ฉันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศลี้ลับและความศักดิ์สิทธิ์ อุโมงค์บางแห่งมีทางออกนำไปสู่ถ้ำที่นักพรตใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม บางถ้ำมีจิตรกรรมฝาผนังโบราณซึ่งเลือนรางแต่ยังคงเห็นภาพของนักบุญและเทวทูต
ที่น่าประทับใจที่สุดคือถ้ำที่เรียกว่า “Bet Mercurios” ภายในมีหลักฐานว่าครั้งหนึ่งอาจเคยเป็นที่พำนักของกษัตริย์ หรืออาจเคยใช้เป็นสถานพยาบาลมาก่อน นักโบราณคดีเคยค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ที่นี่ ซึ่งอาจเป็นของนักบวชหรือนักแสวงบุญในอดีต
เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ: จากความมืดไปสู่แสง
ระหว่างทางจากโบสถ์หนึ่งไปยังอีกแห่ง ฉันได้เดินผ่านอุโมงค์แคบ ๆ ที่มืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นแม้แต่ปลายเท้าของตัวเอง ความเงียบในอุโมงค์นั้นหนาหนักยิ่งกว่าความมืด—ไม่มีเสียงพูด ไม่มีแสงลอด มีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง
ไกด์กระซิบว่า
“นี่คือเส้นทางแห่งความตายครับ… เราเดินผ่านนรก เพื่อไปสวรรค์”
ประโยคที่ฟังดูเกินจริงในตอนแรก กลับกลายเป็นความจริงในประสบการณ์ เมื่อฉันค่อย ๆ ย่างเท้าไปในความมืดนั้น ทุกก้าวคือบทสนทนาเงียบ ๆ กับตัวเอง คล้ายการเดินผ่านความเปราะบางภายในจิตใจ จนเมื่อแสงจากปลายทางเริ่มสาดเข้ามา—ทั้งร่างกายและหัวใจก็เบาขึ้นอย่างประหลาด
อุโมงค์นั้นไม่ใช่แค่ทางเดินในภูเขา แต่คือบททดสอบทางจิตวิญญาณ ที่แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรมอันชาญฉลาดของผู้สร้างโบสถ์เหล่านี้ เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทำให้เราเข้าใจว่า บางครั้ง… การผ่านความมืดคือเงื่อนไขของการได้พบแสงด้วยหัวใจที่เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
ความสงบ ความลึกซึ้ง และแรงบันดาลใจที่ไม่อาจสื่อเป็นคำพูด
ลาลิเบลาไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นพยานแห่งศรัทธา เป็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ และเป็นบทกวีของสถาปัตยกรรมที่แต่งขึ้นด้วยมือและหัวใจของมนุษย์













Leave a Reply