Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

ฉันออกเดินทางจากเมืองไทยมุ่งหน้าสู่เดลลี ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับกลุ่มเพื่อนร่วมทริป ก่อนจะต่อเครื่องบินภายในไปยังเมืองออรังกาบัด สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะมาเที่ยวถ้ำ Ajanta และ Ellora โดยตรงนั้น หากพูดตามตรง ควรลงเครื่องที่สนามบินมุมไบจะสะดวกกว่ามาก เพราะจากที่นั่นสามารถเดินทางต่อด้วยรถโดยสารไปยังออรังกาบัดได้ง่ายกว่า และยังสามารถแวะเที่ยวชมสถานที่สำคัญในมุมไบ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟที่มีสถาปัตยกรรมยุโรปอันงดงามจากยุคอาณานิคมอังกฤษ หรืออาคารสไตล์โกธิคที่สะท้อนภาพอดีตเมื่ออังกฤษยังปกครองอินเดียผ่านบริษัทอีสต์อินเดีย

แต่สำหรับฉันที่ไม่ได้วางแผนอะไรมากนัก เพราะตั้งใจจะเกาะกลุ่มไปกับเพื่อนๆ สบายๆ อีกทั้งเครื่องบินที่ไปลงมุมไบก็ไม่สะดวกนัก เพราะมาถึงดึกมาก ฉันจึงขอข้ามมุมไบแล้วเลือกไปลงที่เดลลีแทนดีกว่า เพื่อพบกับเพื่อนๆ ก่อนเดินทางต่อไปยังออรังกาบัดในวันเดียวกันเลย

เมื่อเรามาถึงออรังกาบัดก็เป็นช่วงเย็นพอดี วันแรกของทริปจึงหมดไปกับการเดินทางและการพักผ่อนเอาแรงสำหรับเช้าวันใหม่

วันรุ่งขึ้นเราตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปสำรวจถ้ำ Ajanta ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออรังกาบัดกว่า 100 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่ง เมื่อมาถึงรถบัสของเราจอดได้แค่หน้าทางเข้าเท่านั้น เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านท้องถิ่น เราจึงต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อเข้าสู่บริเวณถ้ำ เหมือนกับที่ใช้ที่ทัชมาฮาล

ทันทีที่รถจอดสนิท บรรดาพ่อค้าก็กรูกันเข้ามาขายหนังสือและของที่ระลึกอย่างคึกคักจนพวกเราต้องเดินเบียดเสียดฝ่าความวุ่นวายเข้าไปอย่างทุลักทุเล นับเป็นสีสันและเสน่ห์ที่น่าจดจำของการเดินทาง

เมื่อก้าวเข้าสู่บริเวณถ้ำ Ajanta ซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ตั้งแต่ปี 1983 ภาพเบื้องหน้าเรียงรายเป็นแนวโค้งรูปเกือกม้าตามแนวหน้าผาริมแม่น้ำวโฆรา ถ้ำทั้ง 30 ถ้ำนี้ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่ถูกสร้างด้วยมือมนุษย์ตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงศตวรรษที่ 6 โดยได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์สาตวาหนะและราชวงศ์วากาฏกะ เพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมและที่พำนักของพระสงฆ์

ถ้ำแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือ Chatiya (เจดีย์หรือโบสถ์สำหรับประกอบพิธีกรรม) และ Vihara (กุฏิที่พักอาศัยของพระสงฆ์) ศิลปะยุคแรกเป็นสัญลักษณ์เรียบง่ายตามแนวทางเถรวาท ก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ลัทธิมหายานในช่วงศตวรรษที่ 5 เป็นต้นไป ซึ่งจะเห็นได้จากรูปสลักพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ที่ประณีตและงดงาม

จุดเด่นที่น่าทึ่งของถ้ำ Ajanta คือภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณที่วาดด้วยเทคนิคเทมพารา (Tempera) ซึ่งใช้ส่วนผสมของมูลสัตว์ เยื่อไม้ และสีธรรมชาติ วาดลงบนพื้นผนังแห้ง แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสองพันปี สีสันก็ยังคงสดใส ภาพเหล่านี้สะท้อนทั้งเรื่องราวทางศาสนา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของอินเดียในอดีตไว้อย่างมีชีวิตชีวา

เรามีเวลาเพียงสองชั่วโมงในการสำรวจถ้ำ ฉันจึงตั้งใจเลือกชมเฉพาะถ้ำที่โดดเด่นที่สุด เริ่มต้นจากถ้ำหมายเลข 1 ซึ่งมีภาพจิตรกรรมที่โดดเด่นมาก เป็นภาพพุทธประวัติและเรื่องราวจากชาดกต่างๆ ที่ยังคงสีสันสดใสจนน่าทึ่ง ถ้ำหมายเลข 2 ก็มีภาพเขียนที่สวยงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะลวดลายและสีที่ประดับเพดานและผนังที่ยังสมบูรณ์อย่างน่าประหลาดใจ ถ้ำหมายเลข 16 สะดุดตาด้วยพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่แกะสลักอย่างประณีต แสดงถึงพลังแห่งศรัทธาในอดีตได้อย่างชัดเจน ส่วนถ้ำหมายเลข 26 เป็นไฮไลต์สำคัญ เพราะมีภาพแกะสลักพระพุทธองค์ปางปรินิพพานที่แสดงออกถึงรายละเอียดอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่อยู่รายล้อมได้อย่างลึกซึ้งและประทับใจ ความงดงามและความละเอียดอ่อนของผลงานเหล่านี้ สะท้อนถึงศรัทธาอันแรงกล้าและความภูมิใจของชาวอินเดีย ที่สืบทอดมรดกทางศิลปะอันยิ่งใหญ่เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมและศึกษา

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.