กลับมาย้อนรำลึกความหลังเมื่อปีที่แล้วกันดีกว่า กับประเทศหินสีชมพูสวยหวานที่จอร์แดน แต่คราวนี้ไปอีกด้านหนึ่งที่แสนแห้งแล้วเปล่าเปลี่ยว ทางทิศตะวันออกของประเทศ ว่ากันที่จริงบริเวณแห่งนี้ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของจอร์แดนซะด้วยซ้ำ เป็นดินแดนแห้งแล้ง ที่ร้อนระอุในเวลากลางวัน มีประชากรต้นไม้ บ้านเรือน ผู้คน น้อยมาก แถบนี้วิ่งไปจนสุดขอบมีชายแดนติดกับอิรัก และซาอุดิอาระเบีย ในอดีตที่ผ่านมา แทบจะไมมีความสำคัญใดๆ เลย ทั้งไม่ใช่เส้นทางการค้า หรือมีความสำคัญในแง่ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ แต่ที่นี่ก็ยังเป็นดินแดนของชาวทะเลทรายเบดูอิน ชาวเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายที่เป็นส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นแม้จะไม่มากมายนัก แต่เราก็ยังได้เห็นส่ิงก่อสร้างในอดึตกระจัดกระจายอยู่ห่างๆ ในทะเลทรายแห้งแล้งที่นี่
อิทธิพลวัฒนธรรม ของชาวมุสลิมได้แผ่ขยายมายังดินแดนแถบนี้ โดยมีอาคาร ป้อมปราการ เป็นหลักฐานให้ผู้คนในปัจจุบัน ได้รับทราบถึงแผ่นดินที่กว้างใหญ่ที่ศาสนาอิสลามได้แผ่อิทธิพลกว้างไกลข้ามทะเลทรายแห้งแล้ง ในยุคแรกเริ่มหลังการเสียชีวิตของท่านนบีมูฮัมมัด (ช่วงคศ.600-700) ซึ่งศาสนาอิสลามอยู่ภายใต้อิทธิพลของราชวงศ์อุมัยหยัด (Umayyad Dynasty) ศูนย์กลางอำนาจในยุคนั้นอยู่ที่กรุงดามัสกัส ซีเรียในปัจจุบัน
วันนี้เราติดต่อเช่าแท็กซี่จากโรงแรมอีกเช่นเดิม ออกเดินทางกันสายๆ ประมาณ 9 โมงเช้ากระมัง เพื่อไปเที่ยวชมปราสาททะเลทราย ได้แต่หวังว่าปราสาทที่ไปดูวันนี้คงไม่เหลือแต่ซากปรักหักพัง แบบที่ Shobak Castle ที่เราผ่านมาเมื่อวันก่อนหลังจากออกจากวาดีรัม เส้นทางสายนี้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของกรุงอัมมาน สองข้างทางแห้งแล้ง เต็มไปด้วยฝุ่นดินหิน แต่สภาพถนนจัดอยู่ในสภาพที่ดีมาก อาจเป็นเพราะได้เริ่มมีการพัฒนาเส้นทางนี้มีการวางท่อน้ำมันผ่านเพื่อเชื่อมต่อไปยังอิรัก และซาอุดิอาระเบีย สภาพภูมิประเทศด้านนี้จึงเริ่มมีความสำคัญขึ้นมา สำหรับการเดินทางมาเที่ยวทางแถบนี้ การเดินทางโดยรถสาธารณะยังไม่สะดวกนักสำหรับนักท่องเที่ยว การเช่ารถโดยคนขับรถที่ชำนาญเส้นทางเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
พวกเราปล่อยให้เป็นหน้าที่คนขับขับรถไป ฉันนั่งดูเส้นทางและผู้คนกับวิถีชีวิตของผู้คนชาวจอร์แดนที่นี่ แล้วนึกสุขใจไปกับความร่มรื่นของบ้านเมืองเรา ฉันเป็นคนที่เป็นผู้ดูโลกที่เป็นไป กับวิถีชีวิตหลากหลายที่เคยผ่านตาและสัมผัส ดินแดนแห้งแล้ง ยังมีคนมากมายที่ต่อสู้ชีวิตและหลงรักความแห้งแล้งเหล่านี้ เมื่อผ่านตลาดบางช่วง ผู้คนจับจ่ายใช้สอย รอยยิ้มของพวกเค้าก็ไม่แตกต่างจากผู้คนที่อื่นในสถานที่แตกต่างกัน ความเจริญเริ่มเข้ามาผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรม ฉันสังเกตุเห็นรถคันใหญ่วิ่งส่งสินค้า เครื่องไม้ เครื่องมือ เพื่อนำมาพัฒนาชุมชนในดินแดนแห้งแล้งนี้อยู่ตลอดเส้นทาง บางจุดเป็นหน่วยงานของทหารที่คอยป้องกันชายแดนที่มีความเปราะบางของจอร์แดนซึ่งอยู่ท่ามกลางประเทศที่เข้มแข็ง และเต็มไปด้วยความขัดแยังทางความคิด ความเชื่อ และพร้อมจะเกิดสงครามขึ้นได้ทุกเมื่อ ฉันพยายามหลับให้น้อยที่สุด เพราะชอบที่จะนั่งดูข้างทางที่รถแล่นผ่านชีวิตธรรมดาสามัญของคนในพื้นที่แต่ก็อดสะลึมสะลือ ภายใต้ผ้าที่ใช้คลุมบังแดดร้อนแรงไม่ได้เหมือนกัน แต่พอจะหลับ จะหลับ เราก็มาถึงที่หมายแรกกันแล้ว เราเข้าไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมแบบแพ็คเกจดูได้ 3 ปราสาทตามเส้นทาง บนถนนสายนี้
+ QASR KHARANA
ปราสาทนี้โดดเด่นสง่างาม อย่างโดดเดี่ยว บนพื้นที่ราบที่ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้มาบดบังวิว ปราสาทหินสองชั้น มีช่องกลมรอบๆ เหมือนหน้าต่างที่ใช้มอง หรืออาจเป็นช่องที่ใช้ยิงอาวุธป้องกัน หรือเป็นสถานที่พักระหว่างทางในทะเลทราย (Caravanserai) ซึ่งยังไม่สามารถระบุลงไปได้ชัด แต่บนประตูชั้นสองของอาคารมีอักษรอิสลามระบุตัวเลขปี 710 ช่วงราชวงศ์อุมัยหยัด ซึ่งถือเป็นยุคแรกเริ่มของศาสนาอิสลาม บนพื้นที่ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่พักของชาวโรมันในยุคไบแซนไทน์มาก่อน ซึ่งอาจจะเป็นป้อมเก่าแก่ที่สุดของยุคอิสลามในช่วงแรก แต่หินบางก้อนก็มีร่องรอยสลักของอักษรโรมัน จึงเชื่อว่าอาจจะสร้างบนซากปรักหรืออาคารเก่าในยุคไบแซนไทน์ แม้ปัจจุบันจะยังไม่แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการทางทหารหรือที่พักสำหรับผู้เดินทาง (คาราวานซาราย) แต่หลักฐานอย่างช่องหน้าต่างกลมรอบอาคารและอักษรอิสลามบริเวณประตูชั้นสอง ได้บ่งบอกถึงความเก่าแก่และความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ของที่นี่
ท่ามกลางทะเลทรายที่อ้างว้าง เมื่อมาถึงป้อมปราสาทใหญ่แห่งนี้คงสร้างความอุ่นใจให้กับผู้เดินทาง ก็เหมือนกับฉัน เราเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปสำรวจซอกโน้น ซอกนี้ ตรงกลางของปราสาทคงเคยได้รับการตกแต่งเป็นสวนย่อมๆ มาก่อน แสงแดดแรงจัด แต่โชคดีที่อากาศในเดือนธันวาคมไม่ได้ร้อนไปด้วย ทำให้เราเดินชมปราสาทแห่งแรกนี้กันได้สบายๆ ปราสาทนี้มีวิวที่กว้างไกล ใหญ่ แข็งแรง แต่ขาดรายละเอียด สู้แห่งที่สองที่เรากำลังจะไปไม่ได้ ที่เล็กแต่งดงามด้วยการตกแต่ง หรูหรา ไปดูกันต่อที่ปราสาทแห่งที่ 2 ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล



+ QUSAYR AMRA
แม้แดดจะแรงกล้า แต่อากาศในเดือนธันวาที่เรามาเยือนก็ยังเย็น พร้อมลมที่พัดแรงได้ใจ ด้านหน้าทางเข้ามีร้านขายของเล็กๆ เล็กมากค่ะ พร้อมเต้นท์ดื่มชาไว้บริการนักท่องเที่ยว ที่ฉันหมายตาไว้จะเข้าไปขอพักพิง รับไออุ่นจากเตาผิงด้านในเต้นท์ซะหน่อย หลังจากเข้าไปชมปราสาท Qasr Amra เรียบร้อยแล้ว
ปราสาท Qusayr Amra อาคารหลังเล็กสีดินทราย หลังคาโค้ง ดูแปลกตาแต่มีเสน่ห์น่าค้นหาเป็นพิเศษ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 8 สมัยราชวงศ์อุมัยหยัด และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี ค.ศ.1985
ด้วยอาคารสีดินทรายหลังคาทรงโค้ง หลังไม่ใหญ่ อยู่กลางทุ่งทะเลทราย ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่ด้านหน้า จัดเป็นห้องแสดงประวัติ และรูปภาพต่างๆ ของปราสาทที่เรากำลังจะเข้าไปดูด้านใน เราเดินดูกันรอบๆ เพื่อทำความเข้าใจก่อน 1รอบ แต่ก็ผ่านๆ ไปแบบไม่เข้าใจเท่าไหร่ แล้วก็พากันเดินเข้าไปดูของจริงกันดีกว่า
ปราสาทนี้มีชื่อเสียงจากภาพเขียนเฟรสโกอันงดงามที่แสดงถึงท้องฟ้า ดวงดาว ภาพสาวงาม และกิจกรรมที่แสดงถึงความสนุกสนานของชนชั้นสูงในอดีต เป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ผ่อนคลายของผู้ปกครองมุสลิมในยุคนั้น รวมถึงระบบการจัดการน้ำที่ก้าวหน้าในทะเลทรายอันแห้งแล้ง ช่วงเวลาที่ฉันประทับใจที่สุดคือการนั่งจิบชาร้อนในเต็นท์เล็กๆ หน้า Qusayr Amra แม้จะราคาสูงไปสักนิด แต่ก็ช่วยคลายหนาวได้ดี





และแน่นอนด้วยบุญวาสนาของเราคงได้แค่หลบอากาศหนาวเข้าไปในเต้นท์ด้านหน้า เจ้าของเต้นท์นำถ้วยชากระจิดริดมาให้แล้วรินชาใส่ถ้วยให้ผู้มาเยือน ชาอุ่นๆ ในเต้นท์หนาช่วยคลายความหนาวเย็น ฉันนั่งเล่นรอเพื่อนๆ ตามเข้ามาดื่มชา คลายความหนาวไปได้เยอะเลย ก่อนจะรู้สึกว่ามันต้องแลกมาแพงจริงๆ กับชาถ้วยละกว่า 40 บาท
“ก็มันถ้วยเล็กนิดเดียวจริงๆ นะ”
ต่อจากที่นี่เราไม่ชักช้า เดินทางกันต่อไปยังปราสาทสุดท้ายของเราที่เริ่มเข้าใกล้ชายแดนอิรัก – ซาอุดิอาระเบีย เข้าไปเรื่อยๆ แม้จะเพียงแค่เห็นป้ายบอกทาง แต่นั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่พาตัวเองเข้ามาใกล้แหล่งกำเนิดแห่งศาสนาอิสลามอย่างซาอุดิอาระเบีย ประเทศมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ เป็นศูนย์รวมของชาวมุสลิมทั่วโลกที่ในแต่ละวันต้องหันหน้าเข้ามาหา และยังอิรัก ประเทศที่ในความรู้สึกของฉันเต็มไปด้วยสงคราม ไม่เว้นแต่ละวัน ประเทศเล็กๆ ที่หาญกล้าต่อกรกับมหาอำนาจใหญ่อย่างอเมริกา ยุโรป และด้วยความคิดสิ่งใด ประวัติศาสตร์ที่ฉันอาจรู้มาน้อยนิด และการเดินทางไปหลายต่อหลายแห่งบนโลกแห่งนี้ ได้พร่ำอ่านประวัติมากมายในแต่ละแห่งหน ฉันจึงได้แค่มอง แต่ไม่กล้าตัดสินสิ่งใดในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จึงได้แค่มองอิรักด้วยความสงสัย และกลัวๆ จะมีระเบิด ตูมๆ กระเด็นมาแถวๆ ที่เรายืนอยู่ตรงนี้ (ท่าจะบ้า ห่างกันตั้งโยชน์ :) ) >>>> แต่สำหรับสงคราม ความขัดแย้งใดๆ ไม่ว่าอดีต จนปัจจุบัน ผู้ชนะ มักเป็นผู้ที่ถูกต้องเสมอ แต่บนเลือดเนื้อของประชาชนผู้ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ อะไรเล้ย จบไว้ตรงนี้แล้วเราไปดูปราสาทต่อไป ซึ่งก็เป็นผลจากการขยายอำนาจในอดีต ผ่านยุคสมัย และการสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน ที่ปราสาทหินสีดำ QASR AL-AZRAQ
+ QASR AL-ASRAQ
ปราสาทหรือป้อมแห่งนี้ดูแปลกตาตั้งแต่ภายนอกที่เห็นเพราะสร้างขึ้นด้วยหินบะซอล์สีดำ คล้ายๆ กับที่เมืองเก่าโรมันทางตอนเหนือUmm Qais ที่เราไปวันก่อน และที่นี่เองก็เป็นป้อมปราการเก่า Qasr Al-Azraq ปราสาทหินบะซอลต์สีดำเก่าแก่ที่สร้างขึ้นโดยชาวโรมันราวศตวรรษที่ 3 ต่อมาได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในยุคไบแซนไทน์ และยังคงใช้ต่อเนื่องจนถึงสมัยราชวงศ์อุมัยหยัดในศตวรรษที่ 8 ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์และการทหารมาหลายยุคสมัย อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเพราะครั้งหนึ่ง T.E. Lawrence หรือที่รู้จักกันในนาม Lawrence of Arabia เคยใช้เป็นฐานบัญชาการร่วมกับชาวอาหรับในการวางแผนสู้รบกับจักรวรรดิออตโตมัน (ชาวเติร์ก) ในช่วงปี ค.ศ.1917-1918 ภายในป้อมยังพบร่องรอยของโรงครัว ห้องประชุม และบ่อน้ำที่แสดงถึงความสำคัญในฐานะโอเอซิสกลางทะเลทราย แม้ว่าปัจจุบันป้อมแห่งนี้จะเสียหายอย่างหนักจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ.1927 แต่กลิ่นอายประวัติศาสตร์ยังคงอบอวลไปทั่วทุกมุมอาคาร


วันนี้เราเสร็จสิ้นการเดินทางเพื่อรู้จักกับจอร์แดนเพียงเท่านี้ และคืนนี้เราจะเดินทางกลับกันแล้วค่ะ จอร์แดนมีประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ทัศนียภาพ ผู้คนที่งดงาม หลากหลายแปลกตา กว่าที่ฉันคาดไว้มากมาย จอร์แดนไม่มีเพียงเพตราที่ยิ่งใหญ่ งดงามเลื่องชื่อ แต่ทุกอย่างที่ฉันได้ผ่านพบ สร้างความตื่นตา ตื่นใจ ที่แห่งนี้เป็นทั้งจุดเร่ิมต้นแห่งศาสนาที่ยิ่งใหญ่ เป็นเมืองโรมันในอดีต เป็นสถานที่ในปกครองของชาวมุสลิมแต่ดั้งเดิม ผ่านร้อนหนาวท่ามกลางการแย่งชิงดินแดนระหว่างพวกยุโรป ชาวเติร์ก มีสถานทีี่ท่องเที่ยวน่าประทับใจที่เพตรา ทะเลทรายวาดีรัม สีสวย แถมยังมีทะเลสาบเดดซีที่แปลกประหลาด ว่ายยังไงก็ไม่จม ปราสาททะเลทรายวันนี้ที่เราเที่ยวชม ก็เต็มไปด้วยประวัติที่ฝากไว้ให้เราเรียนรู้ การเดินทางท่องเที่ยวก็ไม่ยาก ถนนหนทางสะดวก ชนิดที่เรียกได้ว่าดีมากๆ เพราะกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา สำหรับผู้คนที่นี่ ฉันได้รับข่าวสารก่อนมาไม่ค่อยดีนัก แต่เท่าที่ฉันเจอก็ไม่ถึงกับแย่เลย ราคาอาจจะไม่ถูกนัก ส่วนใหญ่ก็จะกำหนดไว้ในระดับหนึ่ง สามารถติดต่อผ่านโรงแรมที่เราพักเพื่อจัดหารถพร้อมคนขับในการไปเที่ยวชมแต่ละแห่งได้ไม่ยาก และเมื่อได้สัมผัสพูดคุยกันแล้ว ฉันว่าคนจอร์แดนนับว่านิสัยดี มีน้ำใจทีเดียว จอร์แดนถึือเป็นอีกทริปที่ประทับใจ และดีใจที่ไม่มองผ่านประเทศแห่งนี้ไป







Leave a Reply