ทุกครั้งที่ตั้งใจเดินทางมายังดินแดนอันแห้งแล้งกลางทะเลทราย มักจะมีคำถามวนเวียนอยู่ในใจเสมอว่าชอบหรือไม่ชอบ ควรมาหรือไม่ควรมา สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจได้ทุกทีว่า เอาเถอะ มันน่าจะดีกว่าไม่ได้มา
ค่ำคืนนี้ ฉันมานอนกลางทะเลทรายอีกครั้ง แม้เพียงคืนเดียวคงไม่อาจสัมผัสถึงวิถีชีวิตชาวทะเลทรายได้ทั้งหมด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกเคารพและชื่นชมในความอดทนของผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ความเงียบเหงาในยามค่ำคืนที่ดำสนิท ความร้อนแรงจนแทบไหม้ผิวในยามกลางวัน นี่คือสิ่งที่ชาวทะเลทรายเผชิญมาเป็นพันๆ ปี ท่ามกลางภูมิประเทศที่ดูโหดร้าย กลับกลายเป็นแหล่งกำเนิดของศิลปะและอารยธรรมอันรุ่งเรือง ทั้งศรัทธาและความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมต่างๆ ล้วนแสดงถึงความพยายามต่อสู้เพื่ออยู่รอดและศรัทธาที่มีต่อเทพเจ้าของพวกเขา
เต็นท์ที่พักในคืนนี้จัดไว้ดีทีเดียว แบ่งสัดส่วนชัดเจน มีห้องน้ำพร้อมใช้อย่างสะดวกสบายกว่าครั้งก่อนที่เคยไปอียิปต์หรือโมร็อกโก ที่ฉันต้องวิ่งหาที่ลับตาเอง แต่ในทะเลทรายจะมีตรงไหนลับตาไปกว่าข้างเต็นท์เราอีกล่ะ ห้องน้ำที่นี่สะอาดและเรียบร้อยดี มีห้องทานอาหารพร้อมเตาผิงอุ่นๆ เอาไว้รับลมหนาว ตอนที่ย้อนคิดดู ที่นี่คงจะดีที่สุดแล้วสำหรับฉันในการพักค้างคืนกลางทะเลทราย
ถึงจะดีขนาดนี้ แต่มันก็ยังคงไม่ใช่สถานที่สำหรับคนที่คุ้นเคยกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายอย่างฉัน ทั้งเตียงนุ่ม น้ำอุ่น โต๊ะเครื่องแป้ง กระจกส่องหน้าที่ไม่มีอยู่ที่นี่ ทำให้ฉันเดินออกจากเต็นท์มาอย่างงัวเงีย หน้าเปลือยเปล่าไร้เครื่องสำอาง มองดูตัวเองในกระจกโทรศัพท์แล้วยังตกใจ นอนหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืนเพราะเฝ้ารอให้ฟ้าสว่างเร็วๆ อากาศยิ่งดึกยิ่งเย็นยะเยือกจนแทบทนไม่ไหว ฉันเฝ้ารอแสงแรกของวันใหม่ด้วยใจจดจ่อ

รูป : เต้นท์ที่พักกลางทะเลทราย
ถึงแม้จะพร่ำบ่นกับตัวเองทุกครั้งว่า “ครั้งหน้าจะไม่นอนกลางทะเลทรายอีกแล้ว” แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อได้กลับมาอีก ก็จบลงที่เต็นท์กลางทะเลทรายทุกที อาจเป็นเพราะเสน่ห์ของค่ำคืนที่เงียบสงบ ดวงจันทร์กลมโตที่สะท้อนกับผืนทราย ดวงดาวที่พร่างพราวจนเหมือนจะคว้ามาได้ และแสงอาทิตย์แรกของเช้าวันใหม่ที่ช่างหวาน งดงาม อ่อนโยนอย่างเหลือเชื่อ ทั้งหมดนี้ดึงดูดฉันให้กลับมาอีกเสมอ
หลังจากออกจากทะเลทราย รถของเรามุ่งหน้าสู่ปราสาท Shobak Castle ปราสาทเก่าแก่แห่งยุคสงครามครูเสด ระหว่างทาง คุณลุงคนขับรถใจดีแวะพาเราไปเที่ยวบ้านชาวเบดูอินใกล้ๆ บ้านหลังนี้ดูแปลกตาเพราะเป็นบ้านถ้ำที่ขุดเจาะเข้าไปในภูเขา ด้านในมีของที่ระลึกวางขายเล็กน้อยสำหรับนักท่องเที่ยว ถึงจะขายไม่ค่อยได้ แต่คุณลุงก็ยังคงดูมีความสุขอย่างเรียบง่าย
เราได้พูดคุยกับคุณลุง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจกันนัก เพราะถามอะไรไปแกก็ตอบมาแค่ “เบดูอิน” จนพวกเราต้องตอบกลับไปด้วยว่า “ไทยแลนด์” จนคุณลุงหัวเราะชอบใจใหญ่ แกเลี้ยงน้ำชาตามธรรมเนียม แต่ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เพราะพวกเราดื่มไปหลายถ้วยจนเกรงใจ แต่คุณลุงกลับไม่คิดเงินแม้แต่ดีนาร์เดียว ก่อนกลับยังได้เห็นรูปถ่ายคุณลุงกับกษัตริย์อับดุลลาห์แห่งจอร์แดนที่แปะไว้ในบ้านอีกด้วย พวกเราเลยรีบขอถ่ายรูปกับคนดังทันที
ความสุขเล็กๆ ที่เกิดจากวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวเบดูอิน ได้สร้างความทรงจำที่ประทับใจและน่ารักไว้ให้ฉันและเพื่อนร่วมทางในวันนี้อีกครั้ง
Lawrence of Arabia House
ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าที่ตรงนี้เคยเป็นแหล่งพักพิงในทะเลทรายสมัยที่ Lawrence นายทหารอังกฤษถูกส่งเข้ามาแทกแซงในยุคที่มหาอำนาจพยายามจะเข้ามามีบทบาทในดินแดนอาหรับหรือไม่ นอกจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา
ที่นี่เป็นทั้งที่อาศัยและแหล่งซ่องสุมอาวุธอยู่ในทะเลทรายวาดีรัม(Wadi Rum) ทางใต้ของจอร์แดน ซึ่งก่อสร้างทับซากเก่าของแหล่งพักพิงดั้งเดิมของชนเผ่านาบาเทียน ชนเผ่าเร่ร่อนดั้งเดิมในทะเลทรายแถบนี้
อยู่ด้านหลังภูเขาสีแดงใหญ่เพื่อหลบพายุทราย อันเกิดขึ้นเป็นประจำในทะเลทราย
แต่ปัจจุบันที่นี่ก็หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังเท่านี้






Leave a Reply