เพตรา (Petra) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “นครหินสีชมพู” (Rose-Red City) คำว่า “เพตรา” ในภาษากรีกมีความหมายว่า “หิน” เป็นการสะท้อนถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองนี้ที่ถูกสร้างขึ้นจากการขุดเจาะหินทรายขนาดใหญ่ให้เป็นบ้านเรือน วิหารขนาดใหญ่ สุสานสำคัญของกษัตริย์และชนชั้นสูง ตลอดจนระบบน้ำที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพอันน่าทึ่งเมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คาดการณ์ว่าเมืองเพตราถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช โดยชาวนาบาเทียน (Nabataeans) ชนเผ่าทะเลทรายที่มีความสามารถโดดเด่นในด้านการค้าและการเดินทาง เมืองเพตราตั้งอยู่บนเนินเขาในเทือกเขาฮอร์ (Mount Hor) ซึ่งอยู่กลางหุบเขาใหญ่ของทะเลทรายอาราบา (Wadi Araba) เป็นเมืองที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลสาบเดดซีทางตอนเหนือกับอ่าวอควาบาทางตอนใต้ เมืองนี้ได้รับการยอมรับจากยูเนสโกเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1985

รูป : แผนที่เมืองเพตรา
การเยือนเพตราครั้งนี้ พวกเราตั้งใจจะใช้เวลา 2 วันอย่างเต็มที่ เพื่อสัมผัสประสบการณ์อย่างลึกซึ้งที่สุด ค่าเข้าชมสำหรับสองวันคือ 55 JD ต่อคน การซื้อตั๋วแบบสองวันนี้เราต้องแจ้งชื่อให้เจ้าหน้าที่ลงบันทึกไว้บนตั๋วด้วย นอกจากนี้ราคาตั๋วยังรวมบริการนั่งม้าจากทางเข้าไปจนถึงหน้าทางเข้า Al Siq แต่ก็ยังมีค่าทิปเพิ่มเติมสำหรับคนจูงม้า ทำให้นักท่องเที่ยวบางคนตัดสินใจเดินเอง ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ได้ชมทิวทัศน์และบรรยากาศรอบข้างอย่างเต็มที่ ในวันแรกฉันกับเพื่อนลองเลือกใช้บริการม้า โดยตกลงราคาทิปกันให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจในการเดินทางระยะสั้นๆ ประมาณ 1 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงทางเข้า Siq จากนั้นเราก็เริ่มเดินสำรวจด้วยเท้าอีกเกือบ 2 กิโลเมตร
การเดินในช่องเขา Siq ครั้งนี้ทำให้เราประทับใจอย่างมาก เพราะวันนี้มีนักท่องเที่ยวเบาบางผิดคาด เราจึงมีโอกาสสัมผัสบรรยากาศที่เงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเห็นในภาพถ่ายหรือสารคดีที่ผ่านตา เสียงฝีเท้าของพวกเราทั้งสี่คนก้องสะท้อนชัดเจน มีเพียงเสียงเท้าม้าของตำรวจท่องเที่ยวเดินผ่านไปมาเบาๆ เพื่อคอยตรวจดูแลความเรียบร้อย ซึ่งการที่นักท่องเที่ยวในจอร์แดนน้อยลงนี้ สาเหตุหนึ่งอาจเนื่องมาจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอียิปต์ ซีเรีย และอิสราเอล แต่ในพื้นที่ท่องเที่ยวของจอร์แดนนั้นกลับมีความปลอดภัยสูงมากๆ
ระหว่างทางเดินผ่านช่องเขา Siq เราได้ชมชั้นหินสีแดง ชมพู และเหลืองทองสลับซับซ้อนอย่างสวยงาม สร้างสรรค์จากกระบวนการธรรมชาติอันยาวนานเมื่อหินเคลื่อนตัวแยกออกจากกัน จนเกิดเป็นเส้นทางน้ำที่เคยหลั่งไหลเข้ามาท่วมพื้นที่นี้ในอดีต ชาวนาบาเทียนได้ใช้ความสามารถอันชาญฉลาดสร้างระบบน้ำใต้ดิน เขื่อน และท่อส่งน้ำที่ทันสมัยในยุคนั้น เพื่อเปลี่ยนน้ำที่เคยเป็นภัยให้กลายเป็นทรัพยากรอันมีค่าที่ยั่งยืน ใช้ทั้งอุปโภคบริโภคในเมืองและขายให้กับคาราวานพ่อค้าที่เดินทางผ่านทะเลทราย สร้างรายได้และความมั่งคั่งให้กับชาวเมืองอย่างมากมาย
เมื่อเดินไปจนสุดทาง เราได้พบกับ The Treasury หรือวิหารมหาสมบัติที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อาคารนี้แกะสลักไว้อย่างงดงามบนผาหินทรายสีชมพู-แดง แม้ว่าจะเคยเห็นภาพมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ความงามที่แท้จริงตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมากกว่าเดิมหลายเท่า ศิลปะของวิหารแห่งนี้มีการผสมผสานจากหลากหลายอารยธรรม ทั้งอียิปต์ เมโสโปเตเมีย รวมไปถึงกรีกและโรมัน สะท้อนให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนทางการค้าและวัฒนธรรมในอดีตอย่างลึกซึ้ง
เส้นทางเดินของเราในวันแรกนั้นยาวไกล ผ่านทั้งช่องเขา อาคารแกะสลัก โรงมหรสพโบราณ และสุสานกษัตริย์ที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบของหุบเขา แต่ละสถานที่มีลวดลายและรายละเอียดที่งดงามไม่ซ้ำกัน ทำให้การเดินกว่า 5-6 ชั่วโมงนี้ไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แม้จะเหนื่อยและเมื่อยล้าบ้าง แต่เมื่อคิดถึงความงดงามของเป้าหมายอย่าง The Monastery ที่อยู่บนยอดเขา ก็เป็นแรงใจให้เราเดินต่อไปจนถึงจุดหมายพอดีกับช่วงที่แสงอาทิตย์สีทองยามเย็นส่องลงมากระทบกับตัวอาคารอย่างลงตัวและงดงามที่สุด
เราใช้เวลาชมวิวทิวเขาสีแดงของทะเลทรายที่ปลายยอดเขาสูงอีกพักใหญ่ก่อนจะเดินทางกลับ ฉันสัมผัสได้ถึงความคุ้มค่าและความมหัศจรรย์ของเมืองเพตราแห่งนี้ ที่สมกับการได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทั้งจากธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และความเพียรพยายามของมนุษย์ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อข้อจำกัดของธรรมชาติและความแห้งแล้งแห่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งนี้






Leave a Reply