Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

ค่ำคืนที่กรุงเทพฯ ผ่านพ้นไปไม่นาน ฉันก็มาถึงประเทศจอร์แดนเสียแล้ว เที่ยวบินของสายการบินรอยัลจอร์ดาเนียนพาฉันมาถึงสนามบินควีนอเลีย (Queen Alia International Airport) ก่อนเวลาสักเล็กน้อย ความหนาวเย็นยามตีห้าของจอร์แดนต้อนรับพวกเราทันทีเมื่อออกจากเครื่องบิน สนามบินแห่งนี้ตั้งชื่อตามสมเด็จพระราชินีอเลีย พระมเหสีองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระราชาธิบดีฮุสเซนของจอร์แดน และถือเป็นสนามบินใหญ่ที่สุดของประเทศ แม้สนามบินจะไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็สะอาดสะอ้าน และการตรวจคนเข้าเมืองผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะเราได้ทำวีซ่ามาจากไทยเรียบร้อยแล้ว

เรานัดให้โรงแรมมาเรียมที่เมืองมาดาบา จัดรถมารับที่สนามบิน ระหว่างที่นั่งรอรถนั้น ฉันรู้สึกประทับใจกับความสุภาพของผู้คนที่นี่ เพราะเมื่อบอกว่าได้นัดรถมาแล้ว เหล่าคนขับแท็กซี่ก็ไม่ได้รุกเร้า เร่งรัด หรือคะยั้นคะยอให้เราเปลี่ยนใจเลย ผู้คนที่นี่ดูเป็นมิตรและพร้อมช่วยเหลือ แม้แต่รอยยิ้มที่ส่งมาให้พวกเราก็อบอุ่นและเป็นกันเอง

เมื่อคนขับรถของเรามาถึง เขาเอาใจใส่ดูแลเรามาก เห็นว่ายังเช้ามากจึงพาแวะร้านขนมปังสดใหม่หอมกรุ่น รสชาติอร่อยมากทีเดียว และยังแวะซื้อกาแฟจอร์แดนที่ร้านข้างทางให้พวกเราอีกด้วย กาแฟของที่นี่มีรสชาติเครื่องเทศที่เข้มข้น และมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ วิธีชงก็แปลกดี คือเทน้ำร้อนใส่แก้วที่มีผงกาแฟรออยู่พร้อมน้ำตาล แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นก็รอให้กากกาแฟตกตะกอนอยู่ก้นแก้ว จึงต้องระวังตอนดื่มเป็นพิเศษ

เช้าตรู่วันแรกในจอร์แดนของเราคือที่ภูเขาเนโบ (Mount Nebo) อากาศหนาวเย็นและลมแรงจนพวกเราหนาวสั่น พวกเราเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ขึ้นไปบนเขา จนเหมือนได้ช่วยเจ้าหน้าที่เปิดประตูเลยทีเดียว ระหว่างทางขึ้น เราได้ยินเสียงลมหวีดหวิวที่เพิ่มความตื่นเต้นและความรู้สึกผจญภัยให้พวกเรา

sds

รูป : จากจุดนี้สามารถชมวิวไปได้ไกลถึงฝั่งอิสราเอล (ดินแดนพันธสัญญา)

ภูเขาเนโบมีความสูง 817 เมตรจากระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ทางศาสนา เพราะเป็นจุดสุดท้ายที่โมเสสยืนชมดินแดนแห่งพันธสัญญาก่อนจะเสียชีวิต โมเสสใช้เวลา 40 ปีในการนำชาวยิวหลงวนเวียนผ่านดินแดนอันแห้งแล้งและเนินเขาสูงชัน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากขัดคำสั่งของพระเจ้า โดยพระเจ้าสั่งให้เขาบอกกับหินเพื่อให้น้ำไหลออกมา แต่โมเสสกลับใช้ไม้เท้าเคาะหินแทน จึงถูกพระเจ้าลงโทษไม่ให้เขาเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา

sds

รูป : ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของโมเสส (Serpentine Cross) ออกแบบโดยศิลปินชาวอิตาลี

จากยอดเขาเนโบ เราสามารถชมทิวทัศน์ได้ไกลถึงดินแดนอิสราเอลในปัจจุบัน วันฟ้าใสสามารถเห็นได้ถึงแม่น้ำจอร์แดนและกรุงเยรูซาเลม นอกจากนี้ ยังมีอนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของโมเสส (Serpentine Cross) ซึ่งออกแบบโดยศิลปินชาวอิตาลี จีโอวานนี ฟานโตนี่ ไม้เท้ารูปงูนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการรักษาโรค ที่ปัจจุบันถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายเกี่ยวกับเภสัชกรรมทั่วโลก ตามตำนานที่ว่าเมื่อเกิดโรคระบาด โมเสสได้ยกไม้เท้าขึ้น เพื่อให้ผู้มีศรัทธาได้รับการเยียวยาจากพระเจ้า

sds

รูป : หินสี Mosaic ทำขึ้นเป็นลวดลายต่างๆ

ที่ภูเขาเนโบ ยังมีโบสถ์ไบแซนไทน์โบราณที่สร้างด้วยศิลปะโมเสคจากหินสีสวยงาม ศิลปะโมเสคเป็นงานฝีมือที่ใช้หินสีแผ่นเล็กๆ นำมาวางเรียงกันเป็นลวดลายต่างๆ อย่างวิจิตรบรรจง โดยใช้เทคนิคพิเศษ คือวาดร่างลวดลายบนผ้า แล้ววางหินแต่ละแผ่นคว่ำด้านที่สวยงามลงไป จากนั้นนำซีเมนต์ฉาบทับให้เรียบ เมื่อซีเมนต์แห้งดีแล้วก็ลอกผ้าออก เผยให้เห็นภาพโมเสคที่งดงามประณีต

ที่ภูเขาเนโบแห่งนี้ยังเคยมีสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จมาเยือน พร้อมทั้งปลูกต้นมะกอกไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพข้างๆ โบสถ์ไบแซนไทน์ด้วย

ช่วงเวลาบนภูเขาเนโบถือเป็นการเริ่มต้นการเดินทางที่งดงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์สำคัญของโลก เป็นความประทับใจแรกที่ยากจะลืมของพวกเราทุกคนจริงๆ ฉันรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้มีความหมายมากกว่าการท่องเที่ยวธรรมดา เพราะเป็นการได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์ และความเชื่อที่ผูกพันอยู่กับผู้คนมายาวนาน

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.