Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

กลางเทือกเขาสูงใหญ่ของที่ราบสูงทิเบต เมือง “ลาซา” (Lhasa) ตั้งตระหง่านเป็นดั่งจุดศูนย์กลางของศาสนาและการเมืองของชาวทิเบตมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวพุทธทิเบตแทบทุกคนล้วนมีความปรารถนาที่จะเดินทางมาสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้สักครั้งในชีวิต เพื่อสัมผัสจิตวิญญาณแห่งศรัทธาที่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์ของพวกเขา

จากแผ่นดินสูงสู่ศูนย์กลางของทิเบต

ลาซาเติบโตขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของนิกายเกลุกปะ (Gelugpa) หรือ “นิกายหมวกเหลือง” ซึ่งก่อตั้งโดยพระอาจารย์ซองคาปา (Tsongkhapa) ในศตวรรษที่ 15 เมื่อดาไลลามะองค์ที่ 5 ลอบซัง กยัตโซ (Lobsang Gyatso, 1617-1682) ตัดสินใจย้ายศูนย์กลางการปกครองจากวัดเดรปรุง (Drepung Monastery) ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 5 กิโลเมตร มาสู่ลาซา และต่อเติมพระราชวังโปตาลาให้ยิ่งใหญ่อลังการขึ้น เมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางทั้งทางศาสนาและการเมืองของทิเบตโดยพฤตินัย

ลาซาในปัจจุบัน: ศรัทธาที่ไม่เคยเสื่อมคลาย

แม้วัดวาอารามและสถาปัตยกรรมเก่าแก่จะยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธทิเบต แต่ปัจจุบันลาซากลับถูกกลืนกลายไปด้วยอิทธิพลของจีน ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมให้ชาวฮั่นจากมณฑลที่ยากจนใกล้เคียงเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ส่งผลให้ชาวทิเบตกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในแผ่นดินของตนเอง

กระนั้นก็ตาม ในแต่ละปี นักท่องเที่ยวและผู้จาริกแสวงบุญกว่าล้านคนยังคงเดินทางมายังลาซา พวกเขาส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปที่ตลาดบาคอร์ (Barkhor Street) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางศาสนา โดยเฉพาะบริเวณวัดโจคัง (Jokhang Temple) วัดศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความเคารพสูงสุดแห่งหนึ่งของชาวพุทธทิเบต ที่นี่เต็มไปด้วยผู้แสวงบุญที่จุดเทียนบูชาและเดินเวียนรอบวัด รวมถึงการทำพิธีอัษฎางคประดิษฐ์ (prostration) ซึ่งเป็นการหมอบกราบด้วยอวัยวะทั้งแปด ได้แก่ มือสอง ข้อศอกสอง เข่าทั้งสอง และเท้าทั้งสอง แนบราบไปกับพื้นเป็นสัญลักษณ์ของการอุทิศตนอย่างสุดซึ้ง


แรกพบลาซา: เมืองที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง

เมื่อก้าวลงจากสถานีรถไฟลาซา ภาพแรกที่สะท้อนเข้าสู่สายตาคือพระราชวังโปตาลา (Potala Palace) อันสง่างามตั้งอยู่บนยอดเขากลางเมือง หากแต่วิวทิวทัศน์รอบตัวกลับเป็นความศิวิไลซ์ที่เหนือความคาดหมาย ถนนใหญ่กว้างขวางถึงหกหรือแปดเลน ตึกอาคารสมัยใหม่เรียงรายเต็มสองฟากทาง ราวกับได้ข้ามมิติจากดินแดนอันแร้นแค้นของที่ราบสูงเข้าสู่เมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของจีน

แต่แม้โครงสร้างพื้นฐานจะถูกพัฒนาให้ทันสมัย การจราจรยังคงสะท้อนวัฒนธรรมดั้งเดิมของที่นี่ ด้วยการขับขี่ที่ไร้กฎระเบียบ รถสวนกันอย่างฉิวเฉียด ที่กลับรถกลายเป็นจุดปะทะระหว่างพาหนะและอารมณ์ของผู้ขับขี่ เรามุ่งหน้าไปยังโรงแรม “นิวแมนดาลา” ซึ่งจะเป็นที่พักของเราในลาซาเป็นเวลาสามคืน

ไกด์ของเราต้อนรับด้วยคำเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม – ห้ามพูดเรื่องการเมือง ห้ามถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหาร และสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าเพิ่งอาบน้ำในคืนแรก เนื่องจากระดับความสูงกว่า 3,000 เมตร อาจทำให้ร่างกายช็อกได้ง่ายจากภาวะแพ้ความสูง (altitude sickness)


สำรวจตลาดบาคอร์: หัวใจของศรัทธาทิเบต

หลังจากเก็บสัมภาระ เราออกไปเดินเล่นในย่านบาคอร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก บรรยากาศของที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของทิเบตแท้ ๆ เสียงสวดมนต์จากนักแสวงบุญดังก้องไปทั่ว ฉันเดินข้ามถนนใหญ่และลัดเลาะเข้าไปในตรอกซอกซอย ผ่านแผงลอยที่ขายลูกปัดหินศักดิ์สิทธิ์ ผ้าทังก้า และเครื่องรางแบบทิเบต จนกระทั่งไปถึงลานหน้าวัดโจคัง

เย็นนี้บริเวณรอบวัดเต็มไปด้วยผู้จาริกแสวงบุญ บ้างจุดเทียนบูชา บ้างเดินจงกรมรอบวัดอย่างเคร่งขรึม และบางคนทำพิธีอัษฎางคประดิษฐ์ด้วยความศรัทธาแรงกล้า พวกเขาใช้มือทั้งสอง ข้อศอก เข่า และเท้า กราบลงกับพื้นอย่างนอบน้อมและซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยฝุ่นจากพื้นถนน แต่สายตากลับเปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่นและศรัทธาที่ไม่มีวันสั่นคลอน

แม้ทิเบตจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใดก็ตาม แต่จิตวิญญาณของผู้คนที่นี่ยังคงหนักแน่นไม่เสื่อมคลาย


หง จิ่ง เทียน: ยาประจำการเดินทางในที่สูง

คืนแรกผ่านไป สมาชิกในกลุ่มของเราหลายคนเริ่มมีอาการแพ้ความสูง บางคนหายใจติดขัด บางคนเวียนศีรษะและนอนไม่หลับ เช้าวันต่อมา เราจึงต้องเดินไปยังร้านขายยาตรงข้ามโรงแรมเพื่อหาซื้อ “หง จิ่ง เทียน” (Hong Jing Tian) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Rhodiola เป็นสมุนไพรที่ช่วยปรับร่างกายให้ทนต่อระดับออกซิเจนที่เบาบางบนที่ราบสูง

เราซื้อยาน้ำในราคากล่องละ 135 หยวน ยาเม็ดในราคา 30 หยวน และออกซิเจนกระป๋องละ 18 หยวน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางเข้าเยี่ยมชมวัดและอารามสำคัญ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่บนพื้นที่สูงและต้องใช้แรงเดินขึ้นลงมาก


ลาซาอาจจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่อย่างหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือพลังแห่งศรัทธาที่ฝังรากลึกในหัวใจของผู้คน เสียงสวดมนต์จากวัดโจคังยังคงดังก้อง สายลมที่พัดผ่านธงมนตรายังคงกระซิบถ้อยคำแห่งความหวัง และการจาริกแสวงบุญก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ เช่นเดียวกับจิตวิญญาณของทิเบตที่ไม่มีวันถูกกลืนหายไป

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.