Nim Journey

A Legend of Travel

Posted in , ,

ทริปนี้เริ่มต้นจากคำสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อน ๆ ที่สิกขิมเมื่อปีก่อน และในที่สุดความฝันก็เป็นจริง แม้ว่าผู้ที่ร่วมคำสัญญาจะเหลือเพียงฉันและพี่เขตเพียงสองคนก็ตาม จากนั้นเราจึงหาสมาชิกเพิ่มเติมเพื่อให้บรรยากาศของการเดินทางไม่เงียบเหงาจนเกินไป สุดท้ายเราได้เพื่อนร่วมทางรวมทั้งฉันเป็นเจ็ดคน และทริปทิเบตของเราก็เริ่มต้นขึ้น

ทิเบตไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักของฉัน แต่สิ่งที่ฉันต้องการสัมผัสจริง ๆ คือการนั่งรถไฟสายที่สูงที่สุดในโลก และเป็นเส้นทางที่ใช้เวลายาวนานที่สุดขบวนหนึ่ง นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของการเดินทางที่ฉันเฝ้าฝันถึง แม้ว่าจะต้องนั่งรถไฟเป็นเวลานานถึงสองวันสองคืน แต่ฉันกลับมองว่านี่คือโอกาสที่จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

แต่ทริปนี้ไม่ได้ง่ายดาย เพราะทิเบตเป็นดินแดนที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง หนึ่งในเขตปกครองของจีนที่ต้องมีใบอนุญาตพิเศษหรือ “permit” สำหรับนักท่องเที่ยว ดังนั้น การเดินทางของเราจึงต้องอาศัยเอเย่นต์ที่ได้รับอนุญาต ฉันเลือกใช้บริการเอเย่นต์จากเนปาล ซึ่งเสนอราคาที่ดีที่สุดและมีความน่าเชื่อถือ

เส้นทางของเราเริ่มต้นที่เมืองเฉิงตู หนึ่งในประตูสำคัญสู่ทิเบต ที่นี่เราโดยสารรถไฟมุ่งหน้าสู่เมืองลาซา ใช้เวลาสองวันสองคืนเต็ม หลายคนอาจมองว่าการเดินทางเช่นนี้น่าเบื่อ แต่สำหรับพวกเรา นี่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เราได้ชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม ได้พบปะผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งชาวจีน ชาวทิเบต และเจ้าหน้าที่รถไฟที่เป็นมิตร

หลังจากการเดินทางที่ยาวนาน เราก็มาถึงลาซา เมืองที่เต็มไปด้วยอาคารสมัยใหม่ ถนนกว้างขวาง แต่ยังคงมีภูเขาสูงใหญ่ล้อมรอบราวกับเมืองนี้ถูกแยกออกจากโลกภายนอก เราใช้เวลาสองวันเต็มในการสำรวจวังโปตาลา วัดโจคัง วัดเดรปรุง และวัดเซรา ตลอดจนตลาดเก่าที่บาคอร์ และเขตเมืองใหม่ของลาซา

จากนั้นเราออกเดินทางไปตามเส้นทาง Friendship Highway ผ่านเมือง Gyantse และ Shigatse มุ่งหน้าสู่ Everest Base Camp (EBC) เพื่อสัมผัสกับยอดเขาสูงที่สุดในโลก ก่อนเดินทางต่อไปยังชายแดนจีน-เนปาลที่เมืองจางมู่ จากนั้นเข้าสู่กาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล ที่ซึ่งเราพักสามวันสามคืน และได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ รวมถึงประสบการณ์บิน Mountain Flight เพื่อชมเทือกเขาหิมาลัยจากมุมสูง

ตลอด 13 วัน 12 คืน ตั้งแต่วันที่ 6-18 เมษายน 2011 เราได้พบเห็นและสัมผัสชีวิตของชาวทิเบต แม้เมืองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ผู้คนยังคงดำเนินชีวิตตามหลักพุทธศาสนาแบบทิเบต การเดินทางออกนอกเมืองเผยให้เห็นภาพของทุ่งเลี้ยงสัตว์ หมู่บ้านเล็ก ๆ และวัดที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงใหญ่ สภาพอากาศที่แห้งแล้ง ลมหนาวแรงจัด และความสูงที่ท้าทายร่างกายของเรา

จากทิเบต เรามุ่งหน้าสู่กาฐมาณฑุ สัมผัสกับบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง อากาศที่แห้งแล้งของทิเบตเปลี่ยนเป็นความชุ่มชื้นของเนปาล ผู้คนเปลี่ยนจากใบหน้าตี๋แบบจีนเป็นใบหน้าสีแทนแบบแขก สีสันของเมืองสดใสขึ้นราวกับปรับคลื่นวิทยุไปสู่ท่วงทำนองใหม่ เมืองนี้เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์จนฉันต้องกลับมาเยือนอีกครั้งในอีกแปดปีต่อมา ซึ่งทุกอย่างยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยกเว้นเพียงถนนสายเดียวที่ญี่ปุ่นมาสร้างให้ทันสมัยขึ้น

สิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตได้คือ ความแตกต่างของระบบสาธารณูปโภคในสองประเทศ ในทิเบตมีไฟฟ้าใช้อย่างเหลือเฟือ แต่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลับถูกจำกัด Facebook และ Twitter ถูกบล็อก แต่เมื่อมาถึงเนปาล อินเทอร์เน็ตกลับเปิดกว้าง ทว่าปัญหาอยู่ที่กระแสไฟฟ้าซึ่งมีจำกัด ทุกสิ่งดูเหมือนไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเสน่ห์ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นที่จดจำไม่รู้ลืม

Leave a Reply

เว็บนี้ใช้ Akismet เพื่อลดสแปม. เรียนรู้ว่าข้อมูลแสดงความเห็นของคุณถูกประมวลผลอย่างไร.

สมัครเป็นสมาชิก

Enter your email below to receive updates.